อยากให้ลองอ่านกันนะครับ ทำใจเป็นกลางแล้วพิสูจน์กันด้วยเหตุและผลว่าอะไรถูกผิด แล้วควรจะเลือกเชื่อใคร จิตที่เป็นกลางและอยู่ในศีลในธรรม จะบอกคุณได้เองว่า ใช่หรือไม่ กรุณาพิจารณาอย่างแยบคายก่อนตัดสินใจด่วนเชื่อใคร
บทความโดย ..ดังตฤณ..
จาก..นิตยสารธรรมะใกล้ตัว(คลิ๊ก) และ กระทู้จากลานธรรม(คลิ๊ก)
จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๘๖
พบหน้ากันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยท่านเป็นฆราวาส
ท่านหันไปบอกลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งที่นั่งข้างๆว่า
ผมมาคนละแบบกับท่าน ขยายความคือ
ของท่านเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูอาการของใจ
ส่วนผมเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูสภาพทางกาย
แต่ไม่ว่าจะเริ่มต้นและดำเนินด้วยการเน้นกายหรือใจ
จุดสรุุปก็คือประสบการณ์เห็นกายใจไม่เที่ยงอย่างทั่วถึง
เห็นว่าทั้งกายและใจนี้ไม่ใช่ตัวตน
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ตรงตามจุดมุ่งหมายเชิงปฏิบัติอันสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา
ความรู้และประสบการณ์บนเส้นทางเจริญสติของท่าน
ตลอดจนความสามารถในการใช้คำอธิบายสภาวะ
ท่านก็เหนือกว่าผมมากนัก
แม้มีประสบการณ์เหมือนๆกัน
แต่ผมก็ใช้คำไม่ได้เหมือนท่าน
เช่น เมื่อจิตกับกายแยกกัน จะรู้สึกเหมือนมีช่องว่างระหว่างกายกับจิต
ตรงนี้มีบัญญัติไว้เป็นมาตรฐานตามตำราคือ "นามรูปปริจเฉทญาณ"
และตอนเกิดประสบการณ์ดังกล่าว
ผมก็จำแค่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ไว้กำกับภาวะ
คือบอกตัวเองว่าขณะนี้เกิด "นามรูปปริจเฉทญาณ"
หรือเมื่อครู่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ตั้งอยู่และหายไปแล้ว
จิตตกกลับมาสู่ภาวะสามัญ ไร้ญาณอันเป็นทางสู่ความพ้นทุกข์แล้ว
ต่อเมื่อฟังคำอธิบายสภาวะแบบง่ายๆจากท่าน
จึงเป็นจุดหักเหสำคัญ เมื่อพูดกับคนอื่น
ก็เริ่มรู้จักใช้คำง่ายๆ ฟังแล้วรู้เรื่องเหมือนท่านบ้าง
(ซึ่งต่อมาก็พบว่าแม้ใช้คำง่ายขนาดไหน
ก็ไม่มีทางฟังรู้เรื่องอยู่ดีสำหรับคนไม่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกัน)
สรุปคือผมจำเป็นต้องบอกว่า "ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน"
เหตุผลสำคัญคือเพื่อให้ชัดเจนว่าทำไมบางคำพูดจึงเหมือนกัน
แต่บางคำจึงดูขัดกัน โดยเฉพาะแนววิธีเริ่มเจริญสติ
มันเป็นเรื่องของพื้นหลังและการตั้งต้นประสบการณ์ทางธรรม
ไม่ใช่เรื่องของการไม่ลงรอยเดียวกัน
ท่านเคยบอกกับผมว่าคงต้องแยกกันทำงาน
ไม่เช่นนั้นคนจะสับสนได้
แต่หลายปีต่อมามีคนกังขา ผมพูดอย่าง ท่านพูดอีกอย่าง
แล้วนิสัยคนเราก็ชอบเข้าทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อย้ำความแน่ใจ
ผมเห็นเป็นวี่แววความขัดแย้งระยะยาว
จึงไปกราบและช่วยท่านสอนที่สวนสันติธรรมให้คนเห็นเสีย
เป็นอันระงับความสงสัยเสียได้ว่าใครยอมรับนับถือใคร
ถาม - หลวงพ่อปราโมทย์สำคัญอย่างไร
คุณดังตฤณถึงยกท่านอยู่คนเดียว?
ตอบ - ผมไม่ได้ยกท่านคนเดียว
ผมพูดเสมอว่าคนที่มีบุญคุณให้ความรู้กับผมมีใครบ้าง
แล้วก็ยกย่องเสมอว่าปราชญ์ทางพุทธท่านใดน่ากราบไหว้บ้าง
เพียงแต่อาจจะกระจัดกระจาย คนส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยเห็น
เห็นแต่ที่ผมยกท่านเป็นคอลัมน์ยืนโรงคือ "ธรรมะจากพระผู้รู้"
ซึ่งมีมาในนิตยสารธรรมะใกล้ตัวโดยตลอด
ท่านสำคัญแค่ไหน ผมดูจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนา
พุทธจะพังเพราะฆราวาสไม่รู้ ไม่ใช่เพราะพระไม่ดี
พูดอย่างนี้อาศัยเหตุอะไร?
เหตุคือคนเราอยู่ๆเกิดมาเป็นพระเลยไม่ได้
ต้องเป็นฆราวาสก่อน
ตอนเป็นฆราวาสจะรู้หรือเข้าใจพุทธอย่างไร
พอเป็นพระก็มีแนวโน้มจะพัฒนาต่อยอดจากตรงนั้น
ถ้าเป็นฆราวาสที่รู้ไม่ดี รู้ไม่พอ หรือรู้ไม่ถูก
พอเป็นพระก็มีสิทธิ์หลงกับอะไรที่ไม่ถูกและไม่ดีพอได้
สถานการณ์ของพุทธในไทยทั้งอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างไร?
พระส่วนใหญ่ท่องจำแต่บทสวดงานศพ
มีการสอนในชั้นเรียนนักธรรมว่ามรรคผล ฌาน ญาณ สมัยนี้ไม่มีแล้ว
แถมมีลูกชาวบ้านที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองโดยไม่ได้พกความละอายเข้ากุฏิ
จึงใจกล้าหน้าทนเอาสื่อลามกเข้าไปสะสมในกุฏิกันมากขึ้นทุกที
ฆราวาสส่วนใหญ่เลยมีโอกาสกราบไหว้ก็เพียงพระที่ไม่ทำตามกติกา
ที่ตกลงไว้กับพระพุทธเจ้าในวันบวช
ที่ว่าจะบวชเข้ามาเพื่อจุดประสงค์สำคัญ
คือบำเพ็ญเพียรเพื่อเอามรรคผลนิพพานกัน
ส่วนพระที่ปฏิบัติจริง ก็มักอยู่ในที่ที่ห่างจากฆราวาส
หรือไม่ก็สอนฆราวาสเฉพาะในเรื่องบุญกุศลและศีลธรรมจรรยา
ซึ่งสมัยนี้ชาวบ้านมักเบือนหน้าหนีมากกว่าหันหน้าฟัง
ช่องว่างระหว่างฆราวาสกับพระจึงถ่างกว้างมาตลอด
แล้วฆราวาสที่ไหนจะเอากำลังใจมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ
หรือเจริญสติเอามรรคผลนิพพานตามรอยบาทพระศาสดาได้เล่า?
อย่างมากก็อาศัยพุทธศาสนาเป็นบันไดไปสวรรค์กันเท่านั้น
จุดสรุปคือลงเอยว่าฆราวาสส่วนใหญ่มองไม่เห็น
ว่าแก่นพระศาสนาอยู่ตรงไหน
อย่าคิดว่าเรื่องเล็กนะครับ
ชาวพุทธที่ไม่รู้จักศาสนาของตัวเองยิ่งมีมาก
ก็ยิ่งเหมือนพุทธศาสนามีศักดิ์ศรีเป็นแค่ขอนไม้กันจม
ไม่ถึงขั้นเรือใหญ่ที่พร้อมพาไปถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยตามที่เป็น
ฆราวาสมีความต้องการแค่ให้พระสวดให้ฟัง
หรือเทศน์เรื่องศีลธรรมง่ายๆให้รู้สึกว่าได้บุญ
พระส่วนใหญ่ก็จัดให้ตามนั้น เน้นท่องสวด
เน้นเทศนาเฉพาะศีลธรรมระดับต้นๆ ฟังง่ายๆ
หรือใส่ความเห็นส่วนตัว หยอดมุขให้คนฟังติดใจ
คนเขาถึงชอบพูดกันว่าศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดี
แล้วในความจดจำสืบๆมาก็คือทุกศาสนาเหมือนกันหมด
คือทำให้เป็นคนดี มีแค่หยิบมือที่เข้าใจว่าพุทธศาสนา
บอกทางให้พ้นจากความเป็นคนดีที่สีหน้าเศร้าสร้อยได้ด้วย
เมื่อผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์เป็นที่ประจักษ์
ว่าชักพาคนอยู่บ้านมาเป็นคนเข้าวัดได้มหาศาล
ผมจึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนท่าน
ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสนับสนุนท่านอื่น
แล้วก็ไม่ได้ประกาศว่าจะเจริญสติได้
ต้องมาลงให้หลวงพ่อปราโมทย์เท่านั้น
การเขียนทั้งหมดนี้
ใจไม่ได้เล็งอยู่ที่การช่วยกู้ชื่อเสียงให้หลวงพ่อปราโมทย์
แต่ในเมื่อชื่อเสียงของพระศาสนาผูกอยู่กับกรณีของท่าน
เนื่องจากรวมคนเข้าไว้ด้วยกันหลายฝ่าย
ฝ่ายรู้เรื่อง ฝ่ายไม่รู้เรื่อง ฝ่ายสมัครใจเดาโดยไม่รับฟังใดๆ ฯลฯ
ถ้าพอจะช่วยให้ชาวพุทธมีใจเป็นกุศลขึ้น สบายใจขึ้น หนักแน่นขึ้น
หลังจากเกิดกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
ผมก็ถือว่าการลงแรงอธิบายครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว
จุดยืนของนิตยสารธรรมะใกล้ตัว
มีคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" นำหน้า
ผมได้กราบเรียนท่านโดยตรงแล้วว่าจะให้คงไว้ต่อไป
ไม่ถอดออกตามคำขอของหลายฝ่าย
มิฉะนั้นเท่ากับเป็นการเสริมให้ผู้คนนึกว่าผมถอนตัวอีกคน
จึงขอประกาศเป็นทางการ
ว่าคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" ในนิตยสารธรรมะใกล้ตัว
ต่อไปนี้จะอยู่ในการตัดสินใจและรับผิดชอบของผมเพียงผู้เดียว
ว่าจะให้อยู่หรือไม่อยู่ต่อ
ผมจะไม่ยกการตัดสินใจใดๆให้ใครแม้เป็นที่ประชุมทีมงาน
ถ้ามีการข่มขู่กันจะได้ข่มขู่ถูกตัว อย่าไปข่มขู่คนอื่นเลยนะครับ
ดังตฤณ
มกราคม ๕๓
ฉบับที่ ๑๘ กรณีหลวงพ่อปราโมทย์ |
ขอคุยต่ออีกฉบับหนึ่งนะครับ
เกี่ยวกับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
เพราะกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้างขณะนี้
และเช่นเคยครับ ขอเขียนในลักษณะถามตอบเป็นประเด็นๆ
เนื่องจากเนื้อหามีความยืดยาว
หากไม่แจกแจงตามข้อสงสัยในใจ
ก็อาจต้องอ่านต่อเนื่องแบบหลงประเด็นได้
ถาม – สไตล์ที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน
จัดเป็นการสอนในแบบของพุทธหรือไม่?
ตอบ – หลายคนกล่าวว่าการทักจิต ดักจิตของหลวงพ่อปราโมทย์
เป็นการทำให้หลงงมงายในตัวท่าน
และไม่ใช่วิธีการอันพึงปฏิบัติในขอบเขตของพุทธ
เพราะไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดทำกัน
ข้อเท็จจริงก็คือครูบาอาจารย์พระป่า
ท่านช่วยลูกศิษย์ลูกหาด้วยวิธีทำนองเดียวกันเป็นปกติ
เอาจากตัวผมเองเป็นพยานยืนยัน
เคยมีครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูปเมตตาบอกให้ลัดๆตรงๆ
บางทีก็พูดชัดๆว่าทำงั้นใช้ได้ ทำงี้ยังไม่ใช่
หรือบางทีก็อาศัยภาษากาย
วันไหนเราทำตัวดีท่านก็ยิ้มแย้มพูดจาต้อนรับเอ็นดู
วันไหนเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็เบือนหน้าใส่โดยไม่ต้องสอบสวน
ให้เราสังเกตจากปฏิกิริยาอาการของท่าน
แล้วไปสำรวจตนเองเอาตามปัญญา
ที่สำคัญแม้ปัจจุบันก็มีหลายสำนัก
สอนแบบเดียวกับหลวงพ่อปราโมทย์อย่างไม่เป็นทางการ
คือไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วม
เว้นแต่จะมีคนวงในที่รู้จักเป็นผู้ชักชวนเข้ามา
สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำมีข้อต่างที่สำคัญ
นั่นคือการสอนวงกว้างเป็นปกติ
แบบเปิดเผยต่อสาธารณะว่าท่านช่วยสอนให้แบบนี้ก็ได้
ถ้าใครปฏิบัติจริงก็สามารถรับฟังว่าดีขึ้น แย่ลง ตรงทาง ผิดทาง
และที่ท่านมักใช้คำง่ายๆไม่ค่อยลงรายละเอียด
ก็เพราะเวลาสำหรับเจาะเป็นคนๆมีไม่มากนัก
การจาระไนรายละเอียดให้แต่ละคนนั้น
กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที หรือให้ดีต้องเกิน ๑๐ นาทีขึ้นไป
ลองคำนวณจากกลุ่มคนที่ไปให้ท่านสอนในแต่ละวัน
ตีเสียว่าวันละ ๕๐ ถ้าจี้กันครบทุกคนก็ ๒๕๐-๕๐๐ นาที
ไม่มีทางที่ใครจะทำให้ครบได้ไหวทุกวัน
แต่รูปแบบถามตอบให้ได้ยินโดยทั่วกัน
ก็มีส่วนช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาลงไปได้
เพราะเมื่อได้ยินปัญหาและคำไขจากกรณีของคนอื่น
ก็มีสิทธิ์ตรงกับปัญหาเฉพาะตน
เมื่อได้คำตอบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตาตนอีก
เรียกว่าเป็นการอาศัยมวลชน
เป็นเครื่องกระทบช่วยให้เข้าใจมาถึงปัญหาของตน
ไม่ใช่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องกล่อมให้คล้อยตามกัน
ย้อนมาถึงตัวข้อสงสัยที่ว่า "นี่เป็นพุทธหรือเปล่า?"
ก็ขอให้ดูจากพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
ที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าที่สงัดแล้วเล็งดูด้วยญาณ
เกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามากมายหลายพระองค์
แต่พระพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์ก็มีอายุไม่เท่ากัน
บ้างก็ตั้งอยู่ได้นาน บ้างก็ตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว
พอมีโอกาสพระสารีบุตรเลยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
เหตุอันใดทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร
พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
เพราะเหล่าท่านทรงท้อพระหฤทัย
ที่จะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
บทธรรมต่างๆที่สาวกจะอาศัยท่องจำสืบต่อมีอยู่น้อย
อีกทั้งกฎกติกาวินัยสงฆ์ต่างๆก็ไม่มี
เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกดั้งเดิมอันตรธานไป
พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านเหล่านั้น
จึงพลอยอันตรธานตามไปด้วยในฉับพลันทันที
ถามว่าพระองค์ท่านเหล่านั้นสอนพระสาวกอย่างไร
พระพุทธเจ้าพระนามว่า "เวสสภู"
ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสอน
ภิกษุสงฆ์ประมาณพันรูปในป่าอันน่ากลัวสำหรับมนุษย์แห่งหนึ่ง
โดยตรัสสั่งว่าพวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น
จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้
จงเข้าถึงส่วนนั้นอยู่เถิด ทำเช่นนี้อยู่ไม่นาน
จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น
ก็ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
สรุปคือวิธีการสอนแบบทักจิต ดักจิตนี้
พระพุทธเจ้าในอดีตเคยทรงทำมาก่อน
และปัจจุบันก็ยังมีครูบาอาจารย์ทางพุทธมากมาย
ถือปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลลูกศิษย์กันอยู่
เป็นความสามารถประกอบกับ "ความเต็มใจเหนื่อย" ของแต่ละท่าน
จะไปหาว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของพุทธศาสนาคงไม่ได้
แน่นอนว่าถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นต้นลัทธิใหม่
และสอนแบบดักจิตกันอย่างเดียว
ลัทธินี้คงอยู่ไม่ได้นาน
แต่นี่ท่านประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์
ย่อยเรื่องยากจากพระไตรปิฎกให้กลายเป็นเรื่องง่าย
ทั้งผ่านคำพูดและหนังสือมากมาย
จึงต้องว่าท่านเป็นกลจักรหนึ่งที่กำลังช่วยยืดอายุพระศาสนา
กระทำตนเป็นคนร่วมสมัยที่ยกระดับความเข้าใจของคนยุคเดียวกัน
ให้ลอยขึ้นพ้นความเชื่อแบบเดิมๆว่าศาสนามีไว้ขึ้นหิ้งก็พอ
ถาม – ถ้าแนวที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนเป็นพุทธที่ถูกต้อง
เหตุใดช่วงหลังจึงมีการประโคมข่าวว่าผิด
แล้วก็ได้ยินว่าพระมีชื่อเสียงเริ่มออกมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย?
ตอบ – กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบจะสึกพระให้ได้นั้น
หลายคนเคยอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์มาก่อน
นอกจากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องจากมา
ก็ควรตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่าทำไมเพิ่งมาเอาผิดกับท่าน
ทั้งที่เคยขอให้ท่านช่วยเหลือในแบบเดียวกัน
กับทั้งพระมีชื่อเสียงที่เพิ่งได้ยินกันว่ามามีส่วนร่วม
ก็เคยนิมนต์หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์ในสถานที่ของท่านมาก่อนด้วย
หลายกรณีนะครับ คำถามมีความสำคัญกว่าคำตอบ
เพราะจนตายเราอาจไม่รู้คำตอบที่แท้จริง
แต่ถ้าตั้งคำถามถูก เราอาจได้ข้อสังเกตที่ทำให้ตาสว่างเดี๋ยวนี้เลย
ถ้าผิดจริง ทำไมจึงเป็นคุณมากกว่าโทษ?
สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำไม่ใช่ขายญาณวิเศษ
ไม่ใช่การขายความถูกต้องแม่นยำแบบหมอดู
แต่เป็นการสอนเจริญสติ ตามแนววิธีที่ท่านถนัด
ถ้าหากเห็นว่าผิด ไม่ดี ไม่ถูก
แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ท่านสอนอยู่หลายปี?
คำตอบในใจของผม ซึ่งไม่ใช่คำตอบอันเป็นที่สุด
อาจมีความผิดพลาดได้ประสามนุษย์ธรรมดาเดินดิน
คือ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องของมุมมองว่าถูกเซ็ตไว้อย่างไร
เมื่อเซ็ตไว้ให้เล็งเห็นประโยชน์ ทุกคนก็พร้อมใจเห็นว่าเป็นเรื่องดีงาม
แต่วันหนึ่งเมื่อถูกชี้นำจากบุคคลที่น่าเชื่อถือบางท่าน
ให้เล็งเข้าไปเห็นโทษจากการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์
เช่น สอนแล้วลูกศิษย์อ่อนแอ สอนแล้วไม่มีทางได้มรรคผล
สอนแบบนี้ไม่ใช่เยี่ยงอย่างแบบพุทธอันควร
สอนแบบนี้เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
สอนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้วิธีหลอกลวงให้หลงเชื่อ ฯลฯ
หลายคนก็เอียงเอนไปเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป
โลกตั้งอยู่อย่างนี้
ใครเห็นอย่างไร เอาไปพูดกันอย่างไร
ขึ้นอยู่กับถูกครอบด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆ
แล้วก็ต้องถามกลับอีกด้วยว่า
เพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เกิดความรู้สึกร่วม
ว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด สอนไม่ดี
เพราะถ้าเกินกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่ดี
ย่อมต้องเรียกว่าเป็น "โลกวัชชะ"
หรือพฤติกรรมของพระที่ชาวโลกติเตียน
ที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยกับข้อกล่าวหา
ก็เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เน้นโฆษณาว่าอาตมามีดีนะ
อาตมารู้ใจคนนะ มาหาอาตมานะ อาตมาพยากรณ์มรรคผลได้นะ
จะมีก็แต่เห็นหรือได้ยินท่านพูดตรงไปตรงมา
เกี่ยวกับคนที่กำลังได้รับการสอน
ว่าเพ่ง ไม่เพ่ง เผลอ ไม่เผลอ รู้ดีแล้ว ยังรู้ไม่ค่อยดี
ซึ่งเจ้าตัวย่อมทราบแก่ใจว่าตรงหรือไม่ตรง
เวลาผู้คนบอกต่อกันถึงความสามารถของหลวงพ่อปราโมทย์
จึงบอกว่า นี่! หลวงพ่อรูปนี้สอนดีนะ
เป็นทุกข์อยู่แล้วหายทุกข์ได้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเองง่ายๆ
ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนเมืองที่ทำมาหากินก็พอเอาดีทางนี้ไหว
แค่เข้าใจก็ทำได้ด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้
ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปให้หลวงพ่อ "ตรวจการบ้าน"
ฆราวาสซึ่งเป็นคนเมืองนั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพระมากหรอกครับ
แค่อยากเจออะไรเย็นๆ
แค่อยากหายร้อนจากความทุกข์ทางใจที่เป็นอยู่
แต่นี่ได้เกินคาด
ท่านพาไปเจอสูตรสำเร็จดับทุกข์สิ้นเชิงของพระพุทธเจ้าได้ด้วย
โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียว
เกินกว่า ๙๐% ของลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้เรื่องอริยบุคคลและมรรคผลด้วยซ้ำ
การประโคมกล่าวโทษท่านเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม
จึงสร้างแนวร่วมไม่สำเร็จ
และผู้กล่าวโทษเองก็อาจต้องตอบคำถามไปอีกนาน
ว่าท่านอวดอุตตริฯตรงไหน ฟังซีดีกี่แผ่นก็ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย
สรุปคือถ้ากลุ่มโจมตีท่านจะเอาโทษผิดปาราชิก
ข้อหาอวดอุตตริมนุสสธรรม
ก็จำเป็นต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนมามัดตัว
จะให้ดีคือรวมเอาคนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ท่านสอน
มาช่วยกันประจานว่าสิ่งที่ท่านชี้ให้ดู
เรื่องจิต เรื่องความอึดอัด เรื่องความปลอดโปร่ง
มันไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องหลอกลวงล้วนๆ
นอกจากนั้น ควรจะต้องทำลายหลักฐานสำคัญ
คือดวงจิตที่สว่างไสวของชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนให้หมด
ไม่ใช่เทข้อมูลฝ่ายโจมตีหมดหน้าตักด้วยคำกล่าวซ้ำๆ
ว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
ดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่
ถาม – บางฝ่ายเรียกร้องให้ชาวบ้านสงบปากสงบคำ
แล้วปล่อยให้พระเคลียร์กันเองจะดีกว่าไหม?
ตอบ – ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์
ข้อวินัยจำนวนมากเกิดขึ้นโดยฆราวาส
คือชาวบ้านชาวเมืองที่เห็นภิกษุทำอะไรขัดตา
ไม่ควรแก่สมณสารูป ก็พากันเข้าไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้า
ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของข้อเรียกร้อง ประสบความสำเร็จ
พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมา
อาศัยการเรียกร้องของชาวบ้านนั่นเอง
ฉะนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกล่าวว่าปล่อยให้นี่เป็นเรื่องของพระ
เพราะเรื่องของพระคือความเป็นความตายของพุทธศาสนา
และพระพุทธเจ้าก็ฝากให้พุทธบริษัท ๔
เป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของพุทธศาสนา
กล่าวคืออุบาสกอุบาสิกาตาดำๆนอกวัดต้องร่วมดูแลด้วย
อย่างน้อยก็คอยสอดส่องพระไม่ดี
ตลอดจนคอยให้การสนับสนุนพระดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม
การ "ตั้งข้อสังเกต" ไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์
จึงอยู่ในวิสัยฆราวาสที่พบว่าท่านผิดจริง
จะได้พยายามตีฆ้องร้องป่าว เนื่องจากท่านเป็นพระดัง
มีอิทธิพลกระทบกับพระศาสนาอย่างใหญ่หลวง
หากไม่ช่วยกันตั้งข้อสังเกต อาจเหมือนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้
กระทบศาสนาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
แต่การ "เอาผิด" หลวงพ่อปราโมทย์ให้ได้
เป็นเรื่องของสงฆ์ที่ต้องดำเนินการกันอย่างชัดเจน
หลวงพ่อปราโมทย์ประกาศอยู่ว่าถ้าเห็นท่านผิดพลาด
ก็ให้สงฆ์ตั้งอธิกรณ์ขึ้นมา
จะได้เป็นที่รู้ผลโดยกระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์
แต่เรื่องที่มีมา เกิดจากการลงความเห็นของคนกลุ่มเดียว
แล้วพยายามใช้ขอบเขตอำนาจของตน
ในการกดดันให้ท่านถอดจีวรทิ้ง
อ้างว่าทำเพื่อความชอบธรรม
เพราะเห็นท่านเป็นอันตรายและรอขั้นตอนไม่ได้
นับว่าไม่ให้ความยุติธรรมใดๆแก่ท่านเลย
ถาม – อย่างไรก็เห็นค้าน
ไม่อาจมองว่าหลวงพ่อปราโมทย์สร้างชื่อให้ครูบาอาจารย์
เพราะท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ให้คำรับรองท่าน
ตอบ – เรื่องที่ว่าครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์
ได้ให้คำนิยมไว้อย่างไร เป็นเรื่องรู้เฉพาะท่านกับครูบาอาจารย์
ตลอดจนคนที่อยู่พร้อมหน้ากันในขณะนั้นๆ
เรารู้เฉพาะที่ว่าคนยุคนี้สมัยนี้ รู้จักใครแล้วได้อะไรบ้าง
บท บ.ก. ฉบับก่อนผมไม่ได้อยากช่วยอวดอ้างว่าท่านสร้างชื่อให้อาจารย์
แต่เนื่องจากเป็นข้อหาใหญ่
คือการกล่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์วางแผนขึ้นมามีอำนาจ
ด้วยวิธีแอบอ้างชื่อเสียงของพระป่าต่างๆ
ผมจึงอาศัยมุมมองลูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายคนที่เห็นค้าน
เพราะเดิมทีพวกเขาไม่รู้จักหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมาก่อนเลย
คนส่วนใหญ่รู้จักแต่หลวงตามหาบัวผ่านข่าวบริจาคทองบ้าง ข่าวคุณทองก้อนบ้าง
(นี่พูดถึงชาวบ้านทั่วไปจริงๆนะครับ ไม่เกี่ยวกับชาววัดหรือชาวใกล้วัด)
แต่พอคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์เริ่มกระจายไป
ครูบาอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อปราโมทย์อ้างถึง
ก็กลายเป็นที่รู้จัก มีคนไปกราบไหว้ขอรับฟังเทศนา
หรือแม้แต่หลวงตามหาบัวที่มีคนคิดปรามาสกัน
พอมาศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์แล้วท่านปราม
ชี้แจงและแยกแยะอะไรๆให้เข้าใจ
คนเหล่านั้นก็พากันไปกราบขอขมา ขออโหสิกรรมจากท่าน
เป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์หลวงปู่ดูลย์ว่าท่านเก็บตัวมาก
ไม่ออกกว้าง เลือกสอนเฉพาะคน
การที่ท่านจะเป็นที่รู้จักและจดจำสำหรับคนรุ่นหลัง
ก็ต้องอาศัยหมู่ศิษย์ที่มีเครดิตประจำยุคสมัย
ขอให้คำนึงว่าหลวงปู่ดูลย์กลายเป็นที่เคารพศรัทธาทันที
เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์แจกแจงพระคุณของท่านให้สานุศิษย์ทราบ
ในทางเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็นที่รู้จัก
หาก "กลุ่มสงฆ์" ในปัจจุบันไม่มีภาพดีๆออกมาเป็นพยานพุทธคุณ
ขอให้นึกถึงฝรั่งที่ไม่มีคณะสงฆ์ดีๆมาช่วยให้เลื่อมใส
เขาก็เอาพระพุทธรูปไปวางพื้น
บางทีเอาเศียรพระไปตั้งคู่กับอะไรที่ชาวพุทธสุดทน
สรุปคือเราต้องอาศัยชีวิตเป็นๆสืบกระแสศรัทธาแทนกัน
และผมก็อยากชี้ว่าการอ้างถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์
เป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ให้โดดเด่น เป็นที่จดจำ
ไม่ใช่อาศัยครูบาอาจารย์หากิน
กรณีศิษย์เก่าของหลวงปู่ดูลย์ที่รู้จักท่านดีนั้นผมขออนุโมทนา
แต่ถ้าเราสำรวจตัวอย่างประชากรเอามาทำสถิติกัน
จะพบว่าเดิมมีชาวพุทธน้อยกว่านี้มากที่รู้จัก เคารพ จดจำ
ตลอดจนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาใช้กัน
เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่อายุไม่ถึง ๒๐ มากมาย
รู้จักหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็จำรูปร่างหน้าตาท่านได้ด้วย
บอกว่าเป็นอาจารย์หลวงพ่อปราโมทย์
ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและพ่อแม่
และมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กรุ่นใหม่
จะหันไปสนใจหลวงปู่ดูลย์และคำสอนของท่านด้วยตนเอง
ฝากไว้นิดหนึ่งด้วยครับว่า
เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด
ขอความกรุณาอย่าฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง
อย่าด่วนปักใจเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเขารู้ลึกกว่าเรา
เพราะผมฟังหลายๆกระแสที่พูดกันลึกๆนั้น
เจ้าตัวก็รับการถ่ายทอดข้อมูลมาผิดๆอยู่
ถ้ามีอะไรสำคัญจริงๆก็จะอัพเดทให้ทราบนะครับ
แต่ฉบับหน้าคงเขียนเรื่องอื่นแล้ว
ที่ต้องรบกวนให้ฟังเรื่องราวมาสองฉบับ
ก็เพราะท่านๆที่อ่านธรรมะใกล้ตัวอยู่นี้
มีไม่น้อยที่เคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์ครับ
ไม่อยากให้รับข่าวลือจนสับสนว่ายังควรมีแก่ใจอ่านต่อดีไหม
ถ้าชีวิตคุณดีขึ้น
ถ้าคุณมาหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าได้
จะมีอะไรดีกว่านี้เล่า?
ดังตฤณ
มกราคม ๕๓
ดาน์โหลดเสียงเทศน์หลวงพ่อปราโมทย์ และลงชื่อขอรับ DVD ฟรี แจกฟรีทั่วโลก (คลิ๊ก)