http://www.jozho.net
   
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 19/11/2007
ปรับปรุง 05/10/2024
สถิติผู้เข้าชม14,726,278
Page Views22,839,941
Menu
หน้าแรก
งานบรรยายโดยโจโฉ
เกี่ยวกับ&ที่มา..โจโฉ
ตัวอย่างภาพกิจกรรม
รวมเสียงโจโฉ
สนับสนุนโจโฉ
บทความโดยโจโฉ
ติดต่อโจโฉ
เลือกดาวน์โหลด
แนะนำ
มาใหม่ล่าสุด
บอกเล่าเก้าสิบ
สวดมนต์ สมาธิ
Video ธรรม
ข่าวร้อน
.
 

คุณดังตฤณเขียนถึง กรณีหลวงพ่อปราโมทย์

อยากให้ลองอ่านกันนะครับ ทำใจเป็นกลางแล้วพิสูจน์กันด้วยเหตุและผลว่าอะไรถูกผิด แล้วควรจะเลือกเชื่อใคร จิตที่เป็นกลางและอยู่ในศีลในธรรม จะบอกคุณได้เองว่า ใช่หรือไม่ กรุณาพิจารณาอย่างแยบคายก่อนตัดสินใจด่วนเชื่อใคร

บทความโดย ..ดังตฤณ.. 

จาก..นิตยสารธรรมะใกล้ตัว(คลิ๊ก) และ กระทู้จากลานธรรม(คลิ๊ก)

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๘๖

สำหรับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
หลายคนอยากฟังคำอธิบายจากผม
เพราะเชื่อว่าน่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางดี
แต่ความจริงคือผมเอง
ก็ต้องพยายามสืบหาต้นตอและที่มาที่ไป
ต้องพยายามสร้างมุมมองและความเข้าใจ
อันเกิดจากการรวบรวมข้อมูลมาปะติดปะต่อไม่ต่างจากคนอื่น
สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้จึงมีค่าไม่ต่างจากความเห็นของคนทั่วไป
อาจถูกหรืออาจผิดประสาภูมิปัญญาของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
เจตนายืนพื้นอยู่บนความอยากรักษาศรัทธาชาวพุทธที่มีต่อพุทธศาสนา
ไม่ใช่มุ่งรักษาศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

คำอธิบายทั้งหมดมีความยืดยาว
ทางที่ดีที่สุดจึงอาศัยคำถามที่มีเข้ามาหาผมไม่ขาดเป็นตัวตั้ง
แล้วตอบจากประสบการณ์ตรงหรือด้วยข้อมูลเท่าที่ผมมี

เกริ่นไว้ก่อนว่างานนี้จะไม่มีใครได้ข้อมูลไปทั้งหมด
แต่โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เข้าใจได้
เรื่องบางเรื่องรู้ครึ่งเดียวจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย
ตรงข้าม การอธิบายแบบให้เข้าใจหายสงสัยอย่างสิ้นเชิง
แบบต้องลงรายละเอียดตามลำดับ
อาจกระทบกระทั่งบุคคล
หรืออาจจะต้องเข้าเรื่องเหลือเชื่อเหมือนการ์ตูน
ผมทำไว้ในใจว่าโลกเป็นทุกข์อยู่แล้ว
ก็จะไม่ขอเขียนอะไรให้เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ต้องเป็นทุกข์เพิ่มแม้แต่คนเดียว

ถาม - การถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรม

เป็นจำนวนหลายคนพร้อมกัน เกิดขึ้นได้อย่างไร?


ตอบ - จากการรับ "ต้นเสียง" ทางโทรศัพท์ด้วยตนเอง
ทำให้มั่นใจว่าเรื่องใหญ่นี้จุดชนวนขึ้นจากความเข้าใจผิด
และมุมมองสรุปที่ต่างกัน

ความเข้าใจผิดที่ว่า
ก็คือเห็นหลวงพ่อปราโมทย์เป็นศิษย์คิดล้างครู
เอาชื่อหลวงปู่ดูลย์มาแอบอ้างสร้างฐานความน่าเชื่อถือ
แล้วภายหลังก็ริอ่านชี้ว่าครูบาอาจารย์พูดผิด
สมควรได้รับการขยายความจากตน

ด้วยมุมมองส่วนตัวจากการเห็นผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์
ผมคิดว่าท่านไม่ได้สร้างแผนแอบอ้างชื่อเสียงครูบาอาจารย์
แต่เป็นการกระจายกลิ่นหอมของชื่อเสียงครูบาอาจารย์
ให้ขจรไกลออกไปทั่วโลกเสียมากกว่า
โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีโอกาสรู้จักพระป่ามากนัก
ก่อนหน้าหลวงพ่อปราโมทย์จะโด่งดัง
จะมีสักกี่คนที่เคยได้ยินชื่อของหลวงปู่ดูลย์
แม้ท่านขึ้นทำเนียบ "พระที่จะต้องไม่ถูกลืม" มานาน
นอกจากนั้น มีใครเคยได้ยินคำว่า "ดูจิต" บ้าง
แม้หลวงพ่อชาและพระป่าหลายท่านใช้คำนี้กันบ่อยๆ
ก็เพิ่งจะด้วยความสามารถ
ในการ "ทำให้เชื่อด้วยของจริง" ของหลวงพ่อปราโมทย์นี่เอง
ทำให้คำว่า "ดูจิต" กลายเป็นหลักปฏิบัติอันศักดิ์สิทธิ์
เป็นทางเลือกสำหรับชาวบ้านชาวเมืองที่ต้องการเข้าถึงแก่นธรรม
โดยยังต้องประกอบอาชีพการงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองอยู่

สรุปคือคนส่วนใหญ่
รู้จักหลวงปู่ดูลย์และเห็นค่าคำสอนของท่านกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากเป็นอาจารย์ทางธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์
ไม่ใช่หลวงพ่อปราโมทย์นำยี่ห้อหลวงปู่ดูลย์มาจุดพลุ
สร้างกระแสความนิยมให้ตนเอง
ทุกวันนี้ พอผู้คนหลั่งไหลไปที่สวนสันติธรรม
ก็จะได้เห็นรูปปั้นหลวงปู่ดูลย์ยืนเด่นเป็นสง่าก่อนเป็นอันดับแรก
(มีบางคนอุตส่าห์มองแง่ลบว่าไม่ดีไม่งาม
ค่าที่ปล่อยให้ท่านยืนตากแดดตากฝนอย่างน่าสงสาร
ก็ขอให้คำนึงว่าพระพุทธรูปในวัดทั่วโลก ต่างก็นั่ง ยืน นอน 
ตากแดดตากฝนไม่ต่างจากนี้เหมือนกัน)

ส่วนข้อหาดัดแปลงคำพูดครูบาอาจารย์นั้น
ด้วยมุมมองส่วนตัว 
ผมเห็นว่าเจตนาของหลวงพ่อปราโมทย์
ไม่ใช่ริอ่านปรับปรุงคำพูดของครูบาอาจารย์ตามอำเภอใจ
แต่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีของคนรุ่นใหม่
คือเข้าใจว่าคำพูดแท้ๆของหลวงปู่ดูลย์นั้น
เดิมเป็นอย่างหนึ่ง ก่อนจะถูกตกแต่งแล้วค่อยสืบทอดมา
ตลอดจนเพื่อให้เข้าใจว่าเดิมทีหลวงปู่ดูลย์ตั้งใจสื่อความหมายแบบไหน
สรุปคือหลวงพ่อปราโมทย์อยากให้เข้าใจหลวงปู่ดูลย์ที่แก่น ไม่ใช่ที่เปลือก

ทว่าด้วยมุมมองของคนอื่น นี่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นอาจารย์ตนว่าพูดไม่ชัด
จำต้องตกแต่งแก้ไขให้ถูกต้องด้วยฝีมือตน
ซึ่งภายหลังเมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เล็งเห็นมุมมองของคนอื่นเช่นนี้
ท่านก็สั่งตัดต้นเหตุปัญหา
เช่นแก้ไขตัดทอนหนังสือบางเล่มเสีย
เอาความเห็นทั้งหมดของท่านออก 
เหลือไว้เพียงส่วนที่ยึดว่าเป็นคำของหลวงปู่ดูลย์
แต่อาจช้าเกินการณ์ 
เพราะหลายคนปักใจว่าท่านเป็นลูกศิษย์คิดล้างครูไปแล้ว
พากันกระพือความเชื่อนี้ไปทั่วแล้ว

ในแง่ของมุมมองสรุปที่มีต่อการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์
ที่ช่วยอ่านวาระจิตของลูกศิษย์เป็นรายๆ
ว่านั่นคือสร้างความอ่อนแอขึ้นในสังคมชาวพุทธ
ด้วยวิธีรวบอำนาจชี้ขาดไว้ในตนแต่ผู้เดียว
ก่อให้เกิดกระแสความต้องการการพึ่งพา
ไม่อาจเจริญสติได้ด้วยความเข้มแข็ง
โดยมีการเปรียบเทียบเหมือนนกถูกหักปีก
ที่คงไม่มีวันบินได้ด้วยตนเอง

จากมุมมองส่วนตัว
ผมเห็นเป็นตรงกันข้าม
ถามว่าที่ผ่านมาเคยมีใครระดมฆราวาสจำนวนมาก
ให้เข้ามามีกำลังใจเจริญสติร่วมกันเท่านี้บ้าง?
ผมไม่ได้พูดถึงการระดมคนมาชุมนุมกัน
เพื่อสร้างความเชื่อ หรือความประพฤติในระดับศีลธรรมจรรยา
แต่ผมกำลังพูดถึงการระดมคนมาเข้าถึงแก่นธรรม
เจริญสติเพื่อระงับดับเหตุแห่งทุกข์ทางใจ
ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่แท้จริงของพระพุทธศาสนาเรา

ผมทำหนังสือ "ดูจิตปีแรก" ซึ่งเป็นการรวมงานง่ายๆของท่าน
แจกจ่ายเป็นธรรมทานไปทั่วประเทศ จนถึงบัดนี้นับได้สองแสนเล่ม
จึงได้รับฟีดแบ็กโดยตรงมากมายก่ายกอง
บางคนแค่อ่านอย่างเดียว
จากที่อ่อนแออยากฆ่าตัวตาย 
กลายเป็นอยากอยู่ต่อเพื่อปฏิบัติธรรม
จากคนที่เคยมืดด้วยความไร้ศรัทธา 
กลายเป็นมีศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง
จากคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมภาวนาได้ผล
กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นว่าตนมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ในชาตินี้
หลักฐานโดยย่นย่อเพียงเท่านี้
ควรแก่มุมมองสรุปว่าหลวงพ่อปราโมทย์ทำให้สังคมพุทธอ่อนแอแน่หรือ?

ถาม - คณะกรรมการเคยสนิทกับหลวงพ่อปราโมทย์มาก

น่าจะรู้เห็นอะไรมาก แล้วมาลาออกพร้อมกัน
มิเป็นการแสดงความไม่ชอบมาพากลหรอกหรือ?


ตอบ - กรรมการและคนใกล้ชิดของท่าน
มีแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ลาออก ไม่ใช่ทั้งหมด
ผมเองไม่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์เท่าบุคคลเหล่านั้น
ไม่ได้ติดตามท่านไปไหนต่อไหนเหมือนบุคคลเหล่านั้น
แต่ภาพของผมก็รวมอยู่ในบุคคลที่มีความผูกพันกับท่านด้วย
เพราะทุกวันนี้มีคนได้อ่าน "ธรรมะจากพระผู้รู้" หลายหมื่นคน
ผ่านนิตยสารธรรมะใกล้ตัวซึ่งผมกับน้องๆร่วมกันสร้างขึ้นมา

และด้วยเหตุของความเป็นคนที่มีภาพผูกพันกับท่าน
ผมจึงพอจะรู้จากประสบการณ์ตรงบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น
ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขน่าลำบากใจ
ทั้งนี้ ผมไม่ได้หมายความว่าผู้เกี่ยวข้องที่อ้างถึงข้างต้น
จะได้รับประสบการณ์แบบเดียวกับผม
ขอให้ทราบว่านี่เป็นเพียงประสบการณ์เฉพาะตนเท่านั้น

งานนี้สำหรับผมแล้ว
มีการเล่นงานเอากับจุดอ่อนของคนส่วนใหญ่
นั่นคือความกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง 
ความกลัวว่าลาภ ยศ สรรเสริญ และความสงบสุขจะหายไป
เริ่มต้นจากย้อนหลังไปประมาณสองอาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ
เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง เตือนว่าให้ระวัง
ถ้าไม่ถอนตัว ไม่หาหลุมหลบภัย
จะพลอยร่างพลอยแหไปกับหลวงพ่อปราโมทย์ด้วย
เพราะกำลังจะมีการถล่มท่านครั้งใหญ่ และเห็นทีจะรอดยาก

จากนั้น เพิ่งล่าสุดวันสองวันนี้เอง
มีใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก
พยายามส่งสัญญาณเตือนมาจากทางไกล
ว่าจะมีการเล่นงานผมทางกฎหมายเป็นรายต่อไป
หลังจากเอาผิดทางกฎหมายกับหลวงพ่อปราโมทย์ได้สำเร็จ

การยกเลิกกำหนดการเทศน์กะทันหันของสำนักพิมพ์ DMG ก็ดี
การขอระงับการเผยแพร่คำสอนของบ้านอารีย์ก็ดี
ตลอดจนการถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรมก็ดี
อาจเกิดจากความคลางแคลงของบรรดาท่านผู้มีเกียรติ
เพราะรู้เห็นเรื่องไม่ดีใดๆของหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่าผมไม่ทราบ
ทราบแต่มีการวางแผนอย่างชัดเจน
ยืนพื้นอยู่บนความเชื่อที่ว่า
ถ้าคนสนิทถอนตัวพร้อมกันทั้งยวง วิกฤตศรัทธาจะตามมา
เพราะผู้คนคงไปร่ำลืออย่างกว้างขวาง
ว่าพระรูปนี้ต้องมีบาปผิดติดตัวอย่างมหันต์แน่นอน

พระพุทธเจ้าตรัสว่าจิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำ
คืออยู่ดีๆก็พร้อมจะมีความคิดร้ายๆกับคนอื่นอยู่แล้ว
ความจริงถ้าไม่มีแถลงการณ์ใดๆออกมาเลย 

ทุกอย่างอาจอึมครึม กลายเป็นจิตวิทยามวลชนที่ทรงพลังกว่านี้
แต่เมื่อมี คำประกาศจากบ้านอารีย์ ชี้ความผิดของหลวงพ่อปราโมทย์ออกมา
ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร
เนื่องจากทุกคนมองว่าการชี้โทษทุกข้อของบ้านอารีย์
หาใช่ความผิดอุกฉกรรจ์อันควรเอาโทษขนาดต้องถล่มให้ล่มจมไม่
ความรู้สึกมวลรวมจึงกลายเป็นโล่งอก ไม่มีอะไรในกอไผ่
และมองตามๆกันว่าหลวงพ่อถูกประทุษร้าย
คราวนี้ความไม่ชอบมาพากลจึงไม่ได้ตกอยู่กับฝ่ายหลวงพ่อ
แต่กลับไปตกอยู่ที่กลุ่มบุคคลเบื้องหน้าเบื้องหลังการจัดการหลวงพ่อมากกว่า

ถ้าขอได้ก็ขอทุกคนอย่าเพิ่งก่นด่าหรือเคียดแค้นชิงชังกลุ่มบุคคลเหล่านี้
เพราะหากคุณรู้เบื้องหลังทั้งหมด
ก็จะมีความรู้สึกเห็นใจพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ไม่ใช่ในฐานะของเพื่อนที่กลายเป็นศัตรู
ผมบอกได้แค่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตา
เป็นอะไรที่เราจะอาศัยเพียงสมมติฐานว่าเคยสนิทต้องรักกันตลอดไม่ได้
คลื่นรบกวนทางความคิดคือตัวตัดสินชี้ขาดว่าศรัทธาจะโดนซัดพาไปทางไหน
ขอยกตัวอย่างบุคคลที่มีตัวตนจริง เคยเป็นคนสนิทหลวงพ่อปราโมทย์
และเกือบจะต้องถอนตัวไปสักรายหนึ่ง
เขาใช้นามแฝงในลานธรรมว่า Realize Now
อ่านความเป็นมาเป็นไป แล้วคุณจะมองเห็นกระบวนวิธีทำลายศรัทธาชัดขึ้น

ถาม - คนสนิทของหลวงพ่อที่ถอนตัวไป

ต่างก็เคยมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในตัวหลวงพ่อ
เหตุใดหลวงพ่อจึงรักษาศรัทธาไว้ไม่ได้?


ตอบ - แสงเทียนในความมืดนั้น
จะส่องสว่างได้ดีเมื่อคุณอยู่ไกลออกมาในระยะห่างหนึ่ง
แต่ถ้าอยู่ใกล้เกินไป บางทีเงาร่างของคุณเองอาจบดบังแสงเทียนไว้จนมิด
ทำให้รู้สึกคล้ายเปลวเทียนไม่มีแสงสว่าง หรือสว่างเพียงริบหรี่ได้

แนวทางการสอนแบบจี้เป็นคนๆของหลวงพ่อปราโมทย์นั้น
เลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดความคาดหวัง
ว่ายิ่งใกล้ชิดจะยิ่งมีสิทธิ์ได้ทางลัดถึงตัวถึงใจกว่าคนอยู่ไกลห่าง
แต่ข้อเท็จจริงคือเมื่อเป็นกันเองมากขึ้น
ก็อาจก่อให้เกิดความสนใจ เกิดความคาดหวังในตัวท่านต่างๆนานา
ดึงให้สติเผลอไปยึดเรื่องข้างนอกมากกว่าเข้ามารู้เรื่องข้างในได้ง่ายๆ

ผมกำลังบอกคุณๆว่าศรัทธาเท่ากัน แต่ยิ่งอยู่ห่าง
ความคาดหวังในการรับความช่วยเหลือด้วยทางลัดยิ่งน้อย
ความตั้งใจสดับฟังเอาไปปฏิบัติจริงยิ่งมาก

แทนที่จะสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อรักษาศรัทธาคนกลุ่มน้อยไม่ได้
ผมอยากให้คุณฉุกใจคิดว่าทำไมเกิดเรื่องแล้วจึงไม่เกิดวิกฤตศรัทธา?
นั่นก็เพราะศรัทธาส่วนใหญ่อยู่ในระยะห่าง รับแสงแต่เพียงพอดี
มีแก่ใจเจริญสติอย่างจริงจัง จึงบังเกิดผลอันสุกสว่างแก่ตัว
เหมือนอาศัยเปลวเทียนเก่าต่อเปลวเทียนใหม่
รู้อยู่ข้างในว่าธรรมะที่เกิดขึ้นกับตนเป็นของจริง สว่างจริง
ส่วนของข้างนอกคือครูบาอาจารย์หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า
จะจริงหรือไม่จริง สว่างหรือมืด ก็คงไม่สำคัญอะไรกับตนอีกแล้ว

ของจริงข้างนอกถูกบิดเบือนหรือลบให้เลือนไปได้
แต่ของจริงข้างใน อย่างไรก็ไม่มีทางทำให้กลายเป็นของปลอม
สรุปคือถ้าพยายามเข้าใกล้หลวงพ่อให้น้อยลง
ใส่ใจปฏิบัติจริงให้มากขึ้น 
อาจมีสิทธิ์ประสบผลสำเร็จมากกว่าคนใกล้ชิดก็ได้
เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ต่อให้จับสังฆาฏิ (ผ้าซ้อนทับจีวร) ของพระองค์ไม่ปล่อย
ก็ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้ท่าน
คนจะเห็นท่านจริงคือต้องเห็นธรรมเท่านั้น

คนเรามักลืมที่มาของตัวเอง
นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เพราะแม้แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเอง
เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่
ก็มีน้อยคนที่ระลึกถึงพระคุณได้
เราจึงเห็นโลกนี้ว่ามีบางคนทิ้งพ่อแม่ได้
หรือกระทั่งฆ่าพ่อแม่เสียก็ได้ เมื่อลืมตัวลืมใจ

ธรรมชาติของคนโดยมาก ไม่ต่างจากกลุ่มนกน้อย
เห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาก็แย่งกันเข้ามาเกาะ
แต่พอเห็นต้นไม้ทำท่าจะโค่นล้มก็แตกฮือเอาตัวรอด
น้อยคนจะทำตัวเหมือนกลุ่มช้างใหญ่
ที่เข้ามาอาศัยร่มเงาไม้ใหญ่สบายตัวแล้ว
พอเห็นต้นไม้จะโค่นก็ปักหลักช่วยกันค้ำยันเอาไว้

สรุปคือธรรมดาโลกครับ
ไม้ใหญ่ไม่ได้มีต้นเดียว
จะบินไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจเฉพาะกาล ไม่ว่ากัน

ถาม - เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว จะให้ทำใจเชื่อใครได้ด้วยวิธีไหน?

ตอบ - ทั้งโลกนี้จริงหมดด้วยตัวของมันเองเป็นธรรมดา
ความคิดของเราเท่านั้นที่ยากจะรับความจริงตามธรรมดาโลก
ขณะเกิดเรื่องราวแตกแยก
ข้อมูลที่มาจากอคติ ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น
ส่วนการรับฟังข้อมูลด้วยใจเป็นกลาง
จะได้ข้อสรุปเป็นจริงในที่สุด

คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ แล้วใจจะอบอุ่น
เมื่อใจอบอุ่นพอ คุณจะค่อยๆรู้สึกว่าเริ่มสำรวจใจตัวเองได้
ดูให้ชัดว่าใจอยากรับฟังทางไหนให้สอดคล้องกับความอบอุ่น
ก็ขอให้เชื่อวาระแห่งใจในบัดนั้นเถิด

อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณคิดไม่ดีหรืออยากถอยเท้าออกไป
ขณะเดียวกันอย่ารู้สึกว่าถูกต้องกับการหุนหันเข้าข้างใคร
ขอเพียงมีข้อมูลมากพอ
จะเกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจก็คงต้องเป็นไปตามนั้น
ต่างคนต่างมีพื้นหลังไม่เหมือนกัน
แม้อยู่บ้านเดียวกันก็อย่านึกว่าต้องตัดสินใจเชื่อให้ตรงกัน

กรณีการขุดคุ้ยเอาอดีตไม่ดีไม่งามของใครมาแฉ
คุณควรถามตัวเองว่ามีใครบ้าง
ที่ทำแต่เรื่องดีเรื่องงามมาตลอด?
ถ้าคนเราลงตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามเสียอย่าง
อย่างไรก็ต้องขุดคุ้ยอะไรสักเรื่องมาประจานจนได้

ผมเห็นพระใดดังขึ้นมา ก็มีทั้งคนรักคนชัง
มีคนเชียร์ มีคนโจมตีเหมือนกันหมด
นึกว่าตีใครพังแล้วเอาคนใหม่ขึ้นมาแทนจะไม่โดนหรือ?
หรือว่าเมื่อใครคนหนึ่งถูกตีพังไปแล้ว
จะมีใครที่สมบูรณ์แบบ ทั้งพฤติกรรมในอดีต
และความงามพร้อมในปัจจุบันมาแทนที่ได้หรือ?
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า
เราจะตั้งใจทำให้ใครคนหนึ่งพังเพื่ออะไรเท่านั้นเอง
ผลลัพธ์ไม่ได้ช่วยให้โลกดีขึ้นกว่าเดิมได้หรอก

ขอให้คำนึงว่าใจคนเราครุ่นคิดถึงแต่มุมมองของตน
ความเห็นของตน ตลอดจนการตกลงร่วมกันของหมู่พวก
ไม่ได้ผูกโยงกับประโยชน์ของคลื่นมหาชน
ถ้าใครอ้างให้คุณได้ยินว่าคิดถึงพระศาสนา ทำเพื่อพระศาสนา
ก็ควรดูที่ผลงานของคนคนนั้นดีกว่า

กรณีหลวงพ่อปราโมทย์ ผมรอฟังการชี้ผิดเอาโทษท่านอยู่
หากพบหลักฐานว่าผิดอาบัติร้ายแรงจริง
ก็ควรปรับสึกเสียตามกระบวนการ
ผมอาจเข้าร่วมช่วยขอร้องให้ท่านสึกด้วยอีกคนหนึ่ง
แต่นี่เท่าที่ทราบล่าสุด
จะมีการโจทก์เอาผิดดื้อๆโดยไม่มีหลักฐาน
หาว่าท่านผิดศีลข้อ ๓
หรือหาว่าท่านส่งเมลถึงผม บอกว่าสาวๆที่มาวัดน่าปล้ำหลายคน
ถ้าคุณไปได้ยินคำนี้ที่ไหน ก็ขอได้รับคำยืนยันจากผมว่าไม่จริง
อย่าว่าแต่ท่านจะพูดเฉียดเรื่องนี้ขณะเป็นพระ
แม้ครั้งเมื่อรู้จักกันฉันฆราวาส 
ผมก็ไม่เคยได้ยินถ้อยคำคึกคะนองทำนองนี้
จากปากท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จริงๆแล้วข่าวเทือกนี้ช่วยให้ผมเองสบายใจด้วยซ้ำ
เพราะท่านคงไม่มีความผิดอะไรเป็นแน่
จึงต้องกุเรื่องโกหกขึ้นกล่าวหากันแบบไม่มีมูลความจริง

ถาม - คุณดังตฤณมีส่วนได้ส่วนเสียกับหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

ตอบ - คนส่วนใหญ่รู้จักผมจากหนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน"
ไม่ได้รู้จักเพราะผมมีความเกี่ยวข้องอะไรกับท่าน
ท่านไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือให้ 
ท่านไม่ได้ช่วยคิดช่วยเขียนส่วนใดส่วนหนึ่ง
แล้วท่านก็ไม่ได้ช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยประชาสัมพันธ์
เพราะฉะนั้น ในแง่ชื่อเสียงแล้ว 
ถ้าคิดถึง "ส่วนได้" ผมไม่น่าจะได้ผลประโยชน์อะไรจากชื่อเสียงของท่าน

ผมร่วมสร้างสวนสันติธรรมไปหนึ่งแสน
ทำบุญวันทอดกฐินที่สวนสันติธรรมปีละเป็นหมื่น
ถวายอุปกรณ์บำรุงธาตุขันธ์อีกเท่าใดจำไม่ได้ถนัด
แม้ตอนไปช่วยท่านสอนที่ศาลาใหญ่
นอกจากไม่มีค่าตัวให้ยังต้องควักเงินหย่อนตู้บริจาคอีก
เมื่อจะมีการจัดพิมพ์หนังสือบูชาครูบาอาจารย์ของท่าน
ก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่ลงไปเป็นแรงเรียกกระแสสนับสนุน
แถมเมื่อสำนักพิมพ์ของตัวเองจะพิมพ์หนังสือ "ดูจิตปีแรก" 
เพื่อแจกเป็นธรรมทานไปตามที่ต่างๆ
ผมก็ลงขันร่วมกับญาติธรรมอื่นๆอีกด้วย ไม่ใช่เป็นผู้รวบรวมอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น ในแง่เงินทองแล้ว
ถ้าคิดถึง "ส่วนเสีย" ผมน่าจะเสียแบบไม่เห็นทางได้อะไรคืนจากท่านเลย

ตอนแม่ผมป่วยหนัก ท่านไปเยี่ยมและแผ่เมตตาให้แม่ถึงบ้าน
ตอนแม่ผมใกล้ตาย ท่านก็ไปให้กำลังใจจนแม่ผมเข้มแข็งขึ้น
ตอนแม่ผมตายแล้ว ท่านก็ไปช่วยวันเผาส่งแม่ขึ้นฟ้า
เพราะฉะนั้น ในแง่บุญคุณ ผมต้องจดจำไม่ลืม

ถาม - คุณดังตฤณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

ตอบ - คำถามทำนองนี้เคยเป็นเหตุให้คิดเขียน
"ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ" ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความชัดเจน
แล้วก็จะได้ไม่ต้องตอบคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา
หรืออย่างน้อยก็จะได้ตอบน้อยลงกว่าเดิมบ้าง

คำถามนี้เหมือนมีอาถรรพณ์นะครับ
เพราะถามในที่สาธารณะกันหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่มักมีเหตุให้ไม่ได้ตอบ
เพราะมักเป็นคำถามที่รวมๆปนๆกันมาหลายข้อก่อนหมดเวลา
ไม่เหลือเวลาพอให้ได้ไขข้อข้องใจ
เพิ่งจะมีตอนไปบรรยายที่คณะแพทยศาสตร์เชียงใหม่
ถามแล้วผมถึงได้ตอบชัดถ้อยชัดคำเป็นครั้งแรก
ใจความสรุปของคำตอบคือ
ผมเป็นลูกศิษย์ทางความรู้ของพระพุทธเจ้า
ผมมีหลวงพ่อพุธเป็นพระอุปัชฌาย์อบรมสั่งสอนตอนอายุ ๒๐
ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์นั้น ผมได้ความรู้จากท่านมากมาย
แต่โดยความสัมพันธ์คือพี่กับน้องที่รักและนับถือกันมาก
ผมเคยอยากเชิดชูสนับสนุนท่าน
กำลังเชิดชูสนับสนุนท่าน
และจะเชิดชูสนับสนุนท่านไม่เปลี่ยน
ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ฉันพี่กับน้อง
แต่เพราะไม่เห็นใครที่ทำให้ฆราวาสตื่นตัวอยากเจริญสติ
ค้นหาแก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เท่าท่านต่างหาก
ถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุนี้แล้ว ต่อให้สนิทกันขนาดไหน
ผมก็คงไม่ใส่ใจร่วมผลักดันให้ผู้คนมารู้จักท่านอย่างที่เห็น

พบหน้ากันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยท่านเป็นฆราวาส
ท่านหันไปบอกลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งที่นั่งข้างๆว่า
ผมมาคนละแบบกับท่าน ขยายความคือ
ของท่านเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูอาการของใจ
ส่วนผมเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูสภาพทางกาย
แต่ไม่ว่าจะเริ่มต้นและดำเนินด้วยการเน้นกายหรือใจ
จุดสรุุปก็คือประสบการณ์เห็นกายใจไม่เที่ยงอย่างทั่วถึง
เห็นว่าทั้งกายและใจนี้ไม่ใช่ตัวตน
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ตรงตามจุดมุ่งหมายเชิงปฏิบัติอันสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา

ความรู้และประสบการณ์บนเส้นทางเจริญสติของท่าน
ตลอดจนความสามารถในการใช้คำอธิบายสภาวะ
ท่านก็เหนือกว่าผมมากนัก
แม้มีประสบการณ์เหมือนๆกัน
แต่ผมก็ใช้คำไม่ได้เหมือนท่าน
เช่น เมื่อจิตกับกายแยกกัน จะรู้สึกเหมือนมีช่องว่างระหว่างกายกับจิต
ตรงนี้มีบัญญัติไว้เป็นมาตรฐานตามตำราคือ "นามรูปปริจเฉทญาณ"
และตอนเกิดประสบการณ์ดังกล่าว
ผมก็จำแค่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ไว้กำกับภาวะ
คือบอกตัวเองว่าขณะนี้เกิด "นามรูปปริจเฉทญาณ"
หรือเมื่อครู่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ตั้งอยู่และหายไปแล้ว
จิตตกกลับมาสู่ภาวะสามัญ ไร้ญาณอันเป็นทางสู่ความพ้นทุกข์แล้ว

ต่อเมื่อฟังคำอธิบายสภาวะแบบง่ายๆจากท่าน
จึงเป็นจุดหักเหสำคัญ เมื่อพูดกับคนอื่น
ก็เริ่มรู้จักใช้คำง่ายๆ ฟังแล้วรู้เรื่องเหมือนท่านบ้าง
(ซึ่งต่อมาก็พบว่าแม้ใช้คำง่ายขนาดไหน
ก็ไม่มีทางฟังรู้เรื่องอยู่ดีสำหรับคนไม่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกัน)

สรุปคือผมจำเป็นต้องบอกว่า "ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน"
เหตุผลสำคัญคือเพื่อให้ชัดเจนว่าทำไมบางคำพูดจึงเหมือนกัน
แต่บางคำจึงดูขัดกัน โดยเฉพาะแนววิธีเริ่มเจริญสติ
มันเป็นเรื่องของพื้นหลังและการตั้งต้นประสบการณ์ทางธรรม
ไม่ใช่เรื่องของการไม่ลงรอยเดียวกัน
ท่านเคยบอกกับผมว่าคงต้องแยกกันทำงาน
ไม่เช่นนั้นคนจะสับสนได้

แต่หลายปีต่อมามีคนกังขา ผมพูดอย่าง ท่านพูดอีกอย่าง
แล้วนิสัยคนเราก็ชอบเข้าทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อย้ำความแน่ใจ
ผมเห็นเป็นวี่แววความขัดแย้งระยะยาว
จึงไปกราบและช่วยท่านสอนที่สวนสันติธรรมให้คนเห็นเสีย
เป็นอันระงับความสงสัยเสียได้ว่าใครยอมรับนับถือใคร

ถาม - หลวงพ่อปราโมทย์สำคัญอย่างไร

คุณดังตฤณถึงยกท่านอยู่คนเดียว?


ตอบ - ผมไม่ได้ยกท่านคนเดียว
ผมพูดเสมอว่าคนที่มีบุญคุณให้ความรู้กับผมมีใครบ้าง
แล้วก็ยกย่องเสมอว่าปราชญ์ทางพุทธท่านใดน่ากราบไหว้บ้าง
เพียงแต่อาจจะกระจัดกระจาย คนส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยเห็น
เห็นแต่ที่ผมยกท่านเป็นคอลัมน์ยืนโรงคือ "ธรรมะจากพระผู้รู้"
ซึ่งมีมาในนิตยสารธรรมะใกล้ตัวโดยตลอด

ท่านสำคัญแค่ไหน ผมดูจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนา
พุทธจะพังเพราะฆราวาสไม่รู้ ไม่ใช่เพราะพระไม่ดี
พูดอย่างนี้อาศัยเหตุอะไร?
เหตุคือคนเราอยู่ๆเกิดมาเป็นพระเลยไม่ได้
ต้องเป็นฆราวาสก่อน
ตอนเป็นฆราวาสจะรู้หรือเข้าใจพุทธอย่างไร
พอเป็นพระก็มีแนวโน้มจะพัฒนาต่อยอดจากตรงนั้น
ถ้าเป็นฆราวาสที่รู้ไม่ดี รู้ไม่พอ หรือรู้ไม่ถูก
พอเป็นพระก็มีสิทธิ์หลงกับอะไรที่ไม่ถูกและไม่ดีพอได้

สถานการณ์ของพุทธในไทยทั้งอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างไร?
พระส่วนใหญ่ท่องจำแต่บทสวดงานศพ
มีการสอนในชั้นเรียนนักธรรมว่ามรรคผล ฌาน ญาณ สมัยนี้ไม่มีแล้ว
แถมมีลูกชาวบ้านที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองโดยไม่ได้พกความละอายเข้ากุฏิ
จึงใจกล้าหน้าทนเอาสื่อลามกเข้าไปสะสมในกุฏิกันมากขึ้นทุกที
ฆราวาสส่วนใหญ่เลยมีโอกาสกราบไหว้ก็เพียงพระที่ไม่ทำตามกติกา
ที่ตกลงไว้กับพระพุทธเจ้าในวันบวช
ที่ว่าจะบวชเข้ามาเพื่อจุดประสงค์สำคัญ 
คือบำเพ็ญเพียรเพื่อเอามรรคผลนิพพานกัน

ส่วนพระที่ปฏิบัติจริง ก็มักอยู่ในที่ที่ห่างจากฆราวาส
หรือไม่ก็สอนฆราวาสเฉพาะในเรื่องบุญกุศลและศีลธรรมจรรยา
ซึ่งสมัยนี้ชาวบ้านมักเบือนหน้าหนีมากกว่าหันหน้าฟัง
ช่องว่างระหว่างฆราวาสกับพระจึงถ่างกว้างมาตลอด 

แล้วฆราวาสที่ไหนจะเอากำลังใจมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ
หรือเจริญสติเอามรรคผลนิพพานตามรอยบาทพระศาสดาได้เล่า?
อย่างมากก็อาศัยพุทธศาสนาเป็นบันไดไปสวรรค์กันเท่านั้น

จุดสรุปคือลงเอยว่าฆราวาสส่วนใหญ่มองไม่เห็น
ว่าแก่นพระศาสนาอยู่ตรงไหน
อย่าคิดว่าเรื่องเล็กนะครับ
ชาวพุทธที่ไม่รู้จักศาสนาของตัวเองยิ่งมีมาก
ก็ยิ่งเหมือนพุทธศาสนามีศักดิ์ศรีเป็นแค่ขอนไม้กันจม
ไม่ถึงขั้นเรือใหญ่ที่พร้อมพาไปถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยตามที่เป็น

ฆราวาสมีความต้องการแค่ให้พระสวดให้ฟัง
หรือเทศน์เรื่องศีลธรรมง่ายๆให้รู้สึกว่าได้บุญ
พระส่วนใหญ่ก็จัดให้ตามนั้น เน้นท่องสวด
เน้นเทศนาเฉพาะศีลธรรมระดับต้นๆ ฟังง่ายๆ
หรือใส่ความเห็นส่วนตัว หยอดมุขให้คนฟังติดใจ
คนเขาถึงชอบพูดกันว่าศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดี
แล้วในความจดจำสืบๆมาก็คือทุกศาสนาเหมือนกันหมด
คือทำให้เป็นคนดี มีแค่หยิบมือที่เข้าใจว่าพุทธศาสนา
บอกทางให้พ้นจากความเป็นคนดีที่สีหน้าเศร้าสร้อยได้ด้วย

เมื่อผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์เป็นที่ประจักษ์
ว่าชักพาคนอยู่บ้านมาเป็นคนเข้าวัดได้มหาศาล
ผมจึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนท่าน
ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสนับสนุนท่านอื่น
แล้วก็ไม่ได้ประกาศว่าจะเจริญสติได้
ต้องมาลงให้หลวงพ่อปราโมทย์เท่านั้น

การเขียนทั้งหมดนี้ 
ใจไม่ได้เล็งอยู่ที่การช่วยกู้ชื่อเสียงให้หลวงพ่อปราโมทย์
แต่ในเมื่อชื่อเสียงของพระศาสนาผูกอยู่กับกรณีของท่าน
เนื่องจากรวมคนเข้าไว้ด้วยกันหลายฝ่าย
ฝ่ายรู้เรื่อง ฝ่ายไม่รู้เรื่อง ฝ่ายสมัครใจเดาโดยไม่รับฟังใดๆ ฯลฯ
ถ้าพอจะช่วยให้ชาวพุทธมีใจเป็นกุศลขึ้น สบายใจขึ้น หนักแน่นขึ้น
หลังจากเกิดกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
ผมก็ถือว่าการลงแรงอธิบายครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว

จุดยืนของนิตยสารธรรมะใกล้ตัว
มีคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" นำหน้า
ผมได้กราบเรียนท่านโดยตรงแล้วว่าจะให้คงไว้ต่อไป
ไม่ถอดออกตามคำขอของหลายฝ่าย
มิฉะนั้นเท่ากับเป็นการเสริมให้ผู้คนนึกว่าผมถอนตัวอีกคน
จึงขอประกาศเป็นทางการ
ว่าคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" ในนิตยสารธรรมะใกล้ตัว
ต่อไปนี้จะอยู่ในการตัดสินใจและรับผิดชอบของผมเพียงผู้เดียว
ว่าจะให้อยู่หรือไม่อยู่ต่อ
ผมจะไม่ยกการตัดสินใจใดๆให้ใครแม้เป็นที่ประชุมทีมงาน
ถ้ามีการข่มขู่กันจะได้ข่มขู่ถูกตัว อย่าไปข่มขู่คนอื่นเลยนะครับ

ดังตฤณ
มกราคม ๕๓

 

จากนิตยสารธรรมะใกล้ตัวไลท์

http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=271:2010-01-27-14-16-40&catid=34&Itemid=1

ฉบับที่ ๑๘ กรณีหลวงพ่อปราโมทย์


ขอคุยต่ออีกฉบับหนึ่งนะครับ
เกี่ยวกับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
เพราะกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้างขณะนี้
และเช่นเคยครับ ขอเขียนในลักษณะถามตอบเป็นประเด็นๆ
เนื่องจากเนื้อหามีความยืดยาว
หากไม่แจกแจงตามข้อสงสัยในใจ
ก็อาจต้องอ่านต่อเนื่องแบบหลงประเด็นได้


ถาม  สไตล์ที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน
จัดเป็นการสอนในแบบของพุทธหรือไม่?


ตอบ  หลายคนกล่าวว่าการทักจิต ดักจิตของหลวงพ่อปราโมทย์
เป็นการทำให้หลงงมงายในตัวท่าน
และไม่ใช่วิธีการอันพึงปฏิบัติในขอบเขตของพุทธ
เพราะไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดทำกัน


ข้อเท็จจริงก็คือครูบาอาจารย์พระป่า
ท่านช่วยลูกศิษย์ลูกหาด้วยวิธีทำนองเดียวกันเป็นปกติ
เอาจากตัวผมเองเป็นพยานยืนยัน
เคยมีครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูปเมตตาบอกให้ลัดๆตรงๆ
บางทีก็พูดชัดๆว่าทำงั้นใช้ได้ ทำงี้ยังไม่ใช่
หรือบางทีก็อาศัยภาษากาย
วันไหนเราทำตัวดีท่านก็ยิ้มแย้มพูดจาต้อนรับเอ็นดู
วันไหนเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็เบือนหน้าใส่โดยไม่ต้องสอบสวน
ให้เราสังเกตจากปฏิกิริยาอาการของท่าน
แล้วไปสำรวจตนเองเอาตามปัญญา


ที่สำคัญแม้ปัจจุบันก็มีหลายสำนัก
สอนแบบเดียวกับหลวงพ่อปราโมทย์อย่างไม่เป็นทางการ
คือไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วม
เว้นแต่จะมีคนวงในที่รู้จักเป็นผู้ชักชวนเข้ามา


สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำมีข้อต่างที่สำคัญ
นั่นคือการสอนวงกว้างเป็นปกติ
แบบเปิดเผยต่อสาธารณะว่าท่านช่วยสอนให้แบบนี้ก็ได้
ถ้าใครปฏิบัติจริงก็สามารถรับฟังว่าดีขึ้น แย่ลง ตรงทาง ผิดทาง
และที่ท่านมักใช้คำง่ายๆไม่ค่อยลงรายละเอียด
ก็เพราะเวลาสำหรับเจาะเป็นคนๆมีไม่มากนัก
การจาระไนรายละเอียดให้แต่ละคนนั้น
กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที หรือให้ดีต้องเกิน ๑๐ นาทีขึ้นไป
ลองคำนวณจากกลุ่มคนที่ไปให้ท่านสอนในแต่ละวัน
ตีเสียว่าวันละ ๕๐ ถ้าจี้กันครบทุกคนก็ ๒๕๐-๕๐๐ นาที
ไม่มีทางที่ใครจะทำให้ครบได้ไหวทุกวัน


แต่รูปแบบถามตอบให้ได้ยินโดยทั่วกัน
ก็มีส่วนช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาลงไปได้
เพราะเมื่อได้ยินปัญหาและคำไขจากกรณีของคนอื่น
ก็มีสิทธิ์ตรงกับปัญหาเฉพาะตน
เมื่อได้คำตอบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตาตนอีก
เรียกว่าเป็นการอาศัยมวลชน
เป็นเครื่องกระทบช่วยให้เข้าใจมาถึงปัญหาของตน
ไม่ใช่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องกล่อมให้คล้อยตามกัน


ย้อนมาถึงตัวข้อสงสัยที่ว่า "นี่เป็นพุทธหรือเปล่า?"
ก็ขอให้ดูจากพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
ที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าที่สงัดแล้วเล็งดูด้วยญาณ
เกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามากมายหลายพระองค์
แต่พระพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์ก็มีอายุไม่เท่ากัน
บ้างก็ตั้งอยู่ได้นาน บ้างก็ตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว


พอมีโอกาสพระสารีบุตรเลยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
เหตุอันใดทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร
พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
เพราะเหล่าท่านทรงท้อพระหฤทัย
ที่จะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
บทธรรมต่างๆที่สาวกจะอาศัยท่องจำสืบต่อมีอยู่น้อย
อีกทั้งกฎกติกาวินัยสงฆ์ต่างๆก็ไม่มี
เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกดั้งเดิมอันตรธานไป
พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านเหล่านั้น
จึงพลอยอันตรธานตามไปด้วยในฉับพลันทันที


ถามว่าพระองค์ท่านเหล่านั้นสอนพระสาวกอย่างไร
พระพุทธเจ้าพระนามว่า "เวสสภู"
ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสอน
ภิกษุสงฆ์ประมาณพันรูปในป่าอันน่ากลัวสำหรับมนุษย์แห่งหนึ่ง
โดยตรัสสั่งว่าพวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น
จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้
จงเข้าถึงส่วนนั้นอยู่เถิด ทำเช่นนี้อยู่ไม่นาน
จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น
ก็ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น


สรุปคือวิธีการสอนแบบทักจิต ดักจิตนี้
พระพุทธเจ้าในอดีตเคยทรงทำมาก่อน
และปัจจุบันก็ยังมีครูบาอาจารย์ทางพุทธมากมาย
ถือปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลลูกศิษย์กันอยู่
เป็นความสามารถประกอบกับ "ความเต็มใจเหนื่อย" ของแต่ละท่าน
จะไปหาว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของพุทธศาสนาคงไม่ได้
แน่นอนว่าถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นต้นลัทธิใหม่
และสอนแบบดักจิตกันอย่างเดียว
ลัทธินี้คงอยู่ไม่ได้นาน
แต่นี่ท่านประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์
ย่อยเรื่องยากจากพระไตรปิฎกให้กลายเป็นเรื่องง่าย
ทั้งผ่านคำพูดและหนังสือมากมาย
จึงต้องว่าท่านเป็นกลจักรหนึ่งที่กำลังช่วยยืดอายุพระศาสนา
กระทำตนเป็นคนร่วมสมัยที่ยกระดับความเข้าใจของคนยุคเดียวกัน
ให้ลอยขึ้นพ้นความเชื่อแบบเดิมๆว่าศาสนามีไว้ขึ้นหิ้งก็พอ


ถาม  ถ้าแนวที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนเป็นพุทธที่ถูกต้อง
เหตุใดช่วงหลังจึงมีการประโคมข่าวว่าผิด
แล้วก็ได้ยินว่าพระมีชื่อเสียงเริ่มออกมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย?


ตอบ  กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบจะสึกพระให้ได้นั้น
หลายคนเคยอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์มาก่อน
นอกจากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องจากมา
ก็ควรตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่าทำไมเพิ่งมาเอาผิดกับท่าน
ทั้งที่เคยขอให้ท่านช่วยเหลือในแบบเดียวกัน
กับทั้งพระมีชื่อเสียงที่เพิ่งได้ยินกันว่ามามีส่วนร่วม
ก็เคยนิมนต์หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์ในสถานที่ของท่านมาก่อนด้วย


หลายกรณีนะครับ คำถามมีความสำคัญกว่าคำตอบ
เพราะจนตายเราอาจไม่รู้คำตอบที่แท้จริง
แต่ถ้าตั้งคำถามถูก เราอาจได้ข้อสังเกตที่ทำให้ตาสว่างเดี๋ยวนี้เลย


ถ้าผิดจริง ทำไมจึงเป็นคุณมากกว่าโทษ?


สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำไม่ใช่ขายญาณวิเศษ
ไม่ใช่การขายความถูกต้องแม่นยำแบบหมอดู
แต่เป็นการสอนเจริญสติ ตามแนววิธีที่ท่านถนัด
ถ้าหากเห็นว่าผิด ไม่ดี ไม่ถูก
แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ท่านสอนอยู่หลายปี?


คำตอบในใจของผม ซึ่งไม่ใช่คำตอบอันเป็นที่สุด
อาจมีความผิดพลาดได้ประสามนุษย์ธรรมดาเดินดิน
คือ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องของมุมมองว่าถูกเซ็ตไว้อย่างไร
เมื่อเซ็ตไว้ให้เล็งเห็นประโยชน์ ทุกคนก็พร้อมใจเห็นว่าเป็นเรื่องดีงาม
แต่วันหนึ่งเมื่อถูกชี้นำจากบุคคลที่น่าเชื่อถือบางท่าน
ให้เล็งเข้าไปเห็นโทษจากการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์
เช่น สอนแล้วลูกศิษย์อ่อนแอ สอนแล้วไม่มีทางได้มรรคผล
สอนแบบนี้ไม่ใช่เยี่ยงอย่างแบบพุทธอันควร
สอนแบบนี้เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
สอนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้วิธีหลอกลวงให้หลงเชื่อ ฯลฯ
หลายคนก็เอียงเอนไปเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป


โลกตั้งอยู่อย่างนี้
ใครเห็นอย่างไร เอาไปพูดกันอย่างไร
ขึ้นอยู่กับถูกครอบด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆ


แล้วก็ต้องถามกลับอีกด้วยว่า
เพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เกิดความรู้สึกร่วม
ว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด สอนไม่ดี
เพราะถ้าเกินกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่ดี
ย่อมต้องเรียกว่าเป็น "โลกวัชชะ"
หรือพฤติกรรมของพระที่ชาวโลกติเตียน


ที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยกับข้อกล่าวหา
ก็เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เน้นโฆษณาว่าอาตมามีดีนะ
อาตมารู้ใจคนนะ มาหาอาตมานะ อาตมาพยากรณ์มรรคผลได้นะ
จะมีก็แต่เห็นหรือได้ยินท่านพูดตรงไปตรงมา
เกี่ยวกับคนที่กำลังได้รับการสอน
ว่าเพ่ง ไม่เพ่ง เผลอ ไม่เผลอ รู้ดีแล้ว ยังรู้ไม่ค่อยดี
ซึ่งเจ้าตัวย่อมทราบแก่ใจว่าตรงหรือไม่ตรง
เวลาผู้คนบอกต่อกันถึงความสามารถของหลวงพ่อปราโมทย์
จึงบอกว่า นี่! หลวงพ่อรูปนี้สอนดีนะ
เป็นทุกข์อยู่แล้วหายทุกข์ได้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเองง่ายๆ
ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนเมืองที่ทำมาหากินก็พอเอาดีทางนี้ไหว
แค่เข้าใจก็ทำได้ด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้
ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปให้หลวงพ่อ "ตรวจการบ้าน"


ฆราวาสซึ่งเป็นคนเมืองนั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพระมากหรอกครับ
แค่อยากเจออะไรเย็นๆ
แค่อยากหายร้อนจากความทุกข์ทางใจที่เป็นอยู่
แต่นี่ได้เกินคาด
ท่านพาไปเจอสูตรสำเร็จดับทุกข์สิ้นเชิงของพระพุทธเจ้าได้ด้วย
โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียว


เกินกว่า ๙๐% ของลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้เรื่องอริยบุคคลและมรรคผลด้วยซ้ำ
การประโคมกล่าวโทษท่านเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม
จึงสร้างแนวร่วมไม่สำเร็จ
และผู้กล่าวโทษเองก็อาจต้องตอบคำถามไปอีกนาน
ว่าท่านอวดอุตตริฯตรงไหน ฟังซีดีกี่แผ่นก็ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย


สรุปคือถ้ากลุ่มโจมตีท่านจะเอาโทษผิดปาราชิก
ข้อหาอวดอุตตริมนุสสธรรม
ก็จำเป็นต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนมามัดตัว
จะให้ดีคือรวมเอาคนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ท่านสอน
มาช่วยกันประจานว่าสิ่งที่ท่านชี้ให้ดู
เรื่องจิต เรื่องความอึดอัด เรื่องความปลอดโปร่ง
มันไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องหลอกลวงล้วนๆ
นอกจากนั้น ควรจะต้องทำลายหลักฐานสำคัญ
คือดวงจิตที่สว่างไสวของชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนให้หมด
ไม่ใช่เทข้อมูลฝ่ายโจมตีหมดหน้าตักด้วยคำกล่าวซ้ำๆ
ว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
ดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่


ถาม  บางฝ่ายเรียกร้องให้ชาวบ้านสงบปากสงบคำ
แล้วปล่อยให้พระเคลียร์กันเองจะดีกว่าไหม?


ตอบ  ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์
ข้อวินัยจำนวนมากเกิดขึ้นโดยฆราวาส
คือชาวบ้านชาวเมืองที่เห็นภิกษุทำอะไรขัดตา
ไม่ควรแก่สมณสารูป ก็พากันเข้าไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้า
ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของข้อเรียกร้อง ประสบความสำเร็จ
พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมา
อาศัยการเรียกร้องของชาวบ้านนั่นเอง
ฉะนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกล่าวว่าปล่อยให้นี่เป็นเรื่องของพระ
เพราะเรื่องของพระคือความเป็นความตายของพุทธศาสนา
และพระพุทธเจ้าก็ฝากให้พุทธบริษัท ๔
เป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของพุทธศาสนา
กล่าวคืออุบาสกอุบาสิกาตาดำๆนอกวัดต้องร่วมดูแลด้วย
อย่างน้อยก็คอยสอดส่องพระไม่ดี
ตลอดจนคอยให้การสนับสนุนพระดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม


การ "ตั้งข้อสังเกต" ไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์
จึงอยู่ในวิสัยฆราวาสที่พบว่าท่านผิดจริง
จะได้พยายามตีฆ้องร้องป่าว เนื่องจากท่านเป็นพระดัง
มีอิทธิพลกระทบกับพระศาสนาอย่างใหญ่หลวง
หากไม่ช่วยกันตั้งข้อสังเกต อาจเหมือนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้
กระทบศาสนาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้


แต่การ "เอาผิด" หลวงพ่อปราโมทย์ให้ได้
เป็นเรื่องของสงฆ์ที่ต้องดำเนินการกันอย่างชัดเจน
หลวงพ่อปราโมทย์ประกาศอยู่ว่าถ้าเห็นท่านผิดพลาด
ก็ให้สงฆ์ตั้งอธิกรณ์ขึ้นมา
จะได้เป็นที่รู้ผลโดยกระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์


แต่เรื่องที่มีมา เกิดจากการลงความเห็นของคนกลุ่มเดียว
แล้วพยายามใช้ขอบเขตอำนาจของตน
ในการกดดันให้ท่านถอดจีวรทิ้ง
อ้างว่าทำเพื่อความชอบธรรม
เพราะเห็นท่านเป็นอันตรายและรอขั้นตอนไม่ได้
นับว่าไม่ให้ความยุติธรรมใดๆแก่ท่านเลย


ถาม  อย่างไรก็เห็นค้าน
ไม่อาจมองว่าหลวงพ่อปราโมทย์สร้างชื่อให้ครูบาอาจารย์
เพราะท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ให้คำรับรองท่าน


ตอบ  เรื่องที่ว่าครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์
ได้ให้คำนิยมไว้อย่างไร เป็นเรื่องรู้เฉพาะท่านกับครูบาอาจารย์
ตลอดจนคนที่อยู่พร้อมหน้ากันในขณะนั้นๆ
เรารู้เฉพาะที่ว่าคนยุคนี้สมัยนี้ รู้จักใครแล้วได้อะไรบ้าง


บท บ.ก. ฉบับก่อนผมไม่ได้อยากช่วยอวดอ้างว่าท่านสร้างชื่อให้อาจารย์
แต่เนื่องจากเป็นข้อหาใหญ่
คือการกล่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์วางแผนขึ้นมามีอำนาจ
ด้วยวิธีแอบอ้างชื่อเสียงของพระป่าต่างๆ
ผมจึงอาศัยมุมมองลูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายคนที่เห็นค้าน
เพราะเดิมทีพวกเขาไม่รู้จักหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมาก่อนเลย
คนส่วนใหญ่รู้จักแต่หลวงตามหาบัวผ่านข่าวบริจาคทองบ้าง ข่าวคุณทองก้อนบ้าง
(นี่พูดถึงชาวบ้านทั่วไปจริงๆนะครับ ไม่เกี่ยวกับชาววัดหรือชาวใกล้วัด)


แต่พอคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์เริ่มกระจายไป
ครูบาอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อปราโมทย์อ้างถึง
ก็กลายเป็นที่รู้จัก มีคนไปกราบไหว้ขอรับฟังเทศนา
หรือแม้แต่หลวงตามหาบัวที่มีคนคิดปรามาสกัน
พอมาศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์แล้วท่านปราม
ชี้แจงและแยกแยะอะไรๆให้เข้าใจ
คนเหล่านั้นก็พากันไปกราบขอขมา ขออโหสิกรรมจากท่าน


เป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์หลวงปู่ดูลย์ว่าท่านเก็บตัวมาก
ไม่ออกกว้าง เลือกสอนเฉพาะคน
การที่ท่านจะเป็นที่รู้จักและจดจำสำหรับคนรุ่นหลัง
ก็ต้องอาศัยหมู่ศิษย์ที่มีเครดิตประจำยุคสมัย
ขอให้คำนึงว่าหลวงปู่ดูลย์กลายเป็นที่เคารพศรัทธาทันที
เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์แจกแจงพระคุณของท่านให้สานุศิษย์ทราบ


ในทางเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็นที่รู้จัก
หาก "กลุ่มสงฆ์" ในปัจจุบันไม่มีภาพดีๆออกมาเป็นพยานพุทธคุณ
ขอให้นึกถึงฝรั่งที่ไม่มีคณะสงฆ์ดีๆมาช่วยให้เลื่อมใส
เขาก็เอาพระพุทธรูปไปวางพื้น
บางทีเอาเศียรพระไปตั้งคู่กับอะไรที่ชาวพุทธสุดทน


สรุปคือเราต้องอาศัยชีวิตเป็นๆสืบกระแสศรัทธาแทนกัน
และผมก็อยากชี้ว่าการอ้างถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์
เป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ให้โดดเด่น เป็นที่จดจำ
ไม่ใช่อาศัยครูบาอาจารย์หากิน
กรณีศิษย์เก่าของหลวงปู่ดูลย์ที่รู้จักท่านดีนั้นผมขออนุโมทนา
แต่ถ้าเราสำรวจตัวอย่างประชากรเอามาทำสถิติกัน
จะพบว่าเดิมมีชาวพุทธน้อยกว่านี้มากที่รู้จัก เคารพ จดจำ
ตลอดจนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาใช้กัน
เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่อายุไม่ถึง ๒๐ มากมาย
รู้จักหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็จำรูปร่างหน้าตาท่านได้ด้วย
บอกว่าเป็นอาจารย์หลวงพ่อปราโมทย์
ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและพ่อแม่
และมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กรุ่นใหม่
จะหันไปสนใจหลวงปู่ดูลย์และคำสอนของท่านด้วยตนเอง


ฝากไว้นิดหนึ่งด้วยครับว่า
เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด
ขอความกรุณาอย่าฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง
อย่าด่วนปักใจเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเขารู้ลึกกว่าเรา
เพราะผมฟังหลายๆกระแสที่พูดกันลึกๆนั้น
เจ้าตัวก็รับการถ่ายทอดข้อมูลมาผิดๆอยู่


ถ้ามีอะไรสำคัญจริงๆก็จะอัพเดทให้ทราบนะครับ
แต่ฉบับหน้าคงเขียนเรื่องอื่นแล้ว
ที่ต้องรบกวนให้ฟังเรื่องราวมาสองฉบับ
ก็เพราะท่านๆที่อ่านธรรมะใกล้ตัวอยู่นี้
มีไม่น้อยที่เคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์ครับ
ไม่อยากให้รับข่าวลือจนสับสนว่ายังควรมีแก่ใจอ่านต่อดีไหม


ถ้าชีวิตคุณดีขึ้น
ถ้าคุณมาหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าได้
จะมีอะไรดีกว่านี้เล่า?


ดังตฤณ
มกราคม ๕๓

 แถลงการณ์ชี้แจงข้อกล่าวหา 10 ฉบับ (อ่านทีนี่คลิ๊ก)

ดาน์โหลดเสียงเทศน์หลวงพ่อปราโมทย์ และลงชื่อขอรับ DVD ฟรี แจกฟรีทั่วโลก (คลิ๊ก)

 
 หน้าแรก  รวมเสียงโจโฉ  บทความ  ภาพกิจกรรม  สนับสนุนโจโฉ  ติดต่อ
view