หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แผ่น 32
เทศนา ณ สวนสันติธรรม ชลบุรี
ใครที่โหลดไปก่อนหน้านี้ กรุณาโหลดใหม่ด้วยนะครับ โดยเฉพาะคนที่จะนำไปเผยแพร่ต่อ อนุโมทนาครับ
* ไฟล์รวมทั้งแผ่น โหลดทีเดียว แบ่งเป็น 5 คุณภาพ * |
คุณภาพ |
ขนาด ดาวน์โหลดที่นี่ |
ไฟล์รวมทั้งแผ่น คุณภาพสูงสุด *** |
MP3 /64 Kbps |
|
ไฟล์รวมทั้งแผ่น คุณภาพสูง (ปานกลาง ไฟล์ VBR) |
MP3 / 40 Kbps |
|
ไฟล์รวมทั้งแผ่น คุณภาพกลางหมาะกับเครื่องเล่นพกพา+มือถือ |
MP3 / 32 Kbps |
|
|
|
|
ไฟล์รวมทั้งแผ่น คุณภาพต่ำ (สำหรับเน็ต 56 K) |
Wma / 16 Kbps |
|
ไฟล์รวมทั้งแผ่น คุณภาพต่ำสุด เล็กมากๆ เพื่อทดลองฟัง |
Wma / 08 Kbps |
ฟังสดแบบต่อเนื่องผ่านเน็ต Stream |
(คลิ๊กที่นี่) หรือ Stream |
หมายเหตุ : ต้องการดาวน์โหลด ให้คลิ๊กขวาที่เลขขนาดไฟล์ เลือกบันทึก หรือ Save หากโหลดไม่ได้ กรุณามาโหลดใหม่วันหลัง อาจเกิดจากอินเตอร์เน็ตติดขัด หรือมีผู้ใช้เยอะ โหลดไปแล้วใช้ไม่ได้ อาจเกิดจากการโหลดไปไม่สมบูรณ์ ต้องโหลดใหม่ ในเวลาที่อินเตอร์เน็ตคล่องตัว การโหลดไฟล์รวมมักมีปัญหา หากมีการสะดุด ทั้งจากการใช้แบบไร้สาย หรือไฟกระชาก สัญญาณกระตุก หรือขาดหายแม้เพียงเสี้ยววินาที ปกติจะขึ้นว่าโหลดเสร็จแต่มักจะแตกไฟล์ไม่ได้ครับ หมายเหตุ 2 : เนื้อหาธรรมทั้งหมดในเวปไซด์ ผม(โจโฉ)แปลงไฟล์อัพโหลดเพื่อให้โหลดฟรีเท่านั้น ผมและเวปไซด์นี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้องกับทางชมรมฯหรือผู้จัดทำต้นฉบับแต่ประการใด สนใจติดต่อกันเองครับ |
คลิ๊ก ขวาที่ขนาดไฟล์ เลือก Save / บันทึก
ไฟล์แยกดาวน์โหลด จะเป็นขนาดเล็ก สำหรับทดลองฟังหรืออินเตอร์เน็ตความเร็วต่ำ
ดาวน์โหลดแยกไฟล์ ตามคุณภาพ |
MP3 |
MP3 |
MP3 |
WMA |
WMA |
สูง > ต่ำ ไฟล์เหมือนกัน ต่างกันที่ความคมชัด |
64Kbps |
40Kbps (VBR) |
32Kbps |
16Kbps |
8Kbps |
520903 |
|||||
520905 |
|||||
520912A |
|||||
520912B |
|||||
520918A |
|||||
520918B |
|||||
520919A |
|||||
520919B |
|||||
520926 |
|||||
521001 |
|||||
521002A |
|||||
521002B |
|||||
|
|
|
|
|
|
พระ อาจารย์ไพศาล เขียนถึง ลพ.ปราโมทย์ ในมติชน เรื่อง เหตุเกิดในวงการกรรมฐาน |
|
มติชน ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
เหตุเกิดใน วงการกรรมฐาน
พระไพศาล วิสาโล
ในอดีตนั้นถือกันว่าสมาธิภาวนาหรือการทำกรรมฐาน
เป็นเรื่องของสงฆ์ ส่วนฆราวาสนั้นปฏิบัติธรรมด้วยการให้ทาน
และรักษาศีลก็พอแล้ว แม้จนทุกวันนี้เราก็ยังเห็นฆราวาสเข้า
วัดเพื่อ “ทำบุญ” เป็นส่วนใหญ่ แต่แบบแผนดังกล่าวดูเหมือน
จะจำกัดเฉพาะชาวพุทธไทย เอกลักษณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ชัด
เมื่อไปเยือนวัดในยุโรปหรืออเมริกาที่มี ชาวพุทธหลายเชื้อชาติ
ให้ความศรัทธานับถือ ในขณะที่ชาวพุทธไทยนิยมมาถวาย
อาหารแก่พระสงฆ์(แล้วก็ลากลับ) ชาวพุทธชาติอื่นโดยเฉพาะ
ชาติตะวันตกกลับสนใจฟังธรรมะและทำสมาธิกัน อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ฆราวาสที่สนใจทำ
กรรมฐาน มีจำนวนมากขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็น
ปรากฏการณ์ที่โดดเด่น ในแวดวงชาวพุทธไทย ตามสำนักต่าง ๆ
มีฆราวาสมาทำสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจัดอบรม
กรรมฐานกันเอง บ่อยครั้งก็มีฆราวาสเป็นอาจารย์กรรมฐาน
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ควบคู่กับความสนใจใฝ่ศึกษาธรรม
ทั้งจากการอ่านและการฟังอย่างแพร่หลาย จนหนังสือธรรมะกลาย
เป็นหนังสือขายดี ขณะที่หน่วยงานหลายแห่งทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ
ก็มีการบรรยายธรรมอย่าง สม่ำเสมอ
ความเครียด ความรุ่มร้อนในจิตใจและความรู้สึกว่างเปล่า
ใน ชีวิตทั้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยวัตถุสิ่งเสพและความสะดวกสบาย
เป็นสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้ผู้คนหันมาหาความสงบจากพุทธศาสนา
แต่ผู้คนยากจะค้นพบคำตอบจากพุทธศาสนาได้หากไม่มีผู้บอกทาง
ที่สามารถสื่อ สารกับฆราวาสได้อย่างถึงแก่น ครั้นค้นพบแล้วจะลงมือ
ปฏิบัติหรือไม่ ก็ยังขึ้นอยู่กับผู้บอกทางว่าได้นำเสนอการปฏิบัติที่สมเหตุ
สมผล น่าเชื่อถือ ทำได้จริงหรือไม่ แต่เท่านั้นยังไม่พอ ที่ขาดไม่ได้
สำหรับ คนสมัยใหม่ก็คือ จักต้องเป็นการปฏิบัติที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
ยิ่ง เป็นวิธีการที่ลัดสั้น ตรงถึงเป้าหมาย ก็ยิ่งได้รับความนิยม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช
เป็นผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดในการชักนำให้ฆราวาสโดยเฉพาะคนชั้นกลาง
หัน มาทำกรรมฐานกันอย่างจริงจังและอย่างแพร่หลายชนิดที่ไม่เคยปรากฏ
มาก่อน ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือคนเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นตัวท่าน
หรือได้รับการชี้แนะจากท่านโดยตรง หรือแม้แต่ฟังคำบรรยายจากปาก
ของท่าน หลายคนอยู่ไกลถึงต่างประเทศด้วยซ้ำ แต่ได้ปฏิบัติตามคำ
ชี้แนะของ ท่านอย่างต่อเนื่อง เท่าที่ทราบมีเป็นจำนวนมากที่ได้รับ
ผลดีจากการ ปฏิบัติ
ความสำเร็จดังกล่าว (หากจะใช้คำนี้) ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก
การ ใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะซีดี ซึ่งสะดวกแก่การเผย
แพร่ในหลาย ช่องทางรวมทั้งทางอินเทอร์เน็ต ทำให้เข้าถึง
คนชั้นกลางจำนวนมาก แม้หนังสือของท่านจะพิมพ์เผยแพร่มิใช่น้อย
แต่เชื่อว่าผู้คนรู้จักพระอาจารย์ปราโมทย์ผ่านซีดีมากกว่าหนังสือ
และที่ศรัทธาปฏิบัติตามแนวทางของท่านก็เพราะซีดีมากกว่า
หนังสือเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเหตุผลที่สำคัญกว่านั้นน่าจะได้แก่
แนวทางการปฏิบัติของ ท่าน ที่เน้นการดูจิต หรือตามรู้สภาวะ
และอาการต่าง ๆ ของจิต ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่กดข่มอารมณ์ที่
ไม่พึงปรารถนา และไม่แทรกแซง หรือควบคุมบังคับจิตเพื่อให้เกิด
ความสงบ ซึ่งรวมถึงการไม่ “กำหนด” หรือ เพ่งที่รูปหรือนามใดๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ “รู้” โดยไม่ต้อง “ทำ”อะไรทั้งสิ้น
วิธีการดังกล่าว (ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าจิตตานุปัสสนาตาม
หลักสติปัฏฐานสี่) เหมาะกับคนชั้นกลางซึ่งมีนิสัยคิดฟุ้งปรุงแต่ง
มากจนยากที่จะทำใจให้สงบ ดิ่งลึก อีกทั้งยังสามารถปฏิบัติได้ใน
ชีวิตประจำวันโดยไม่เลือกสถาน ที่และบรรยากาศ ทำให้กรรมฐาน
กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้โดยไม่ต้อง หลีกเร้นไปอยู่ป่าหรือเข้า
คอร์สปฏิบัติธรรม ด้วยเหตุนี้หลายคนที่นำวิธีการดังกล่าวไปปฏิบัติ
จึงเห็นผลได้เร็ว คือมีสติรู้ตัวมากขึ้น จิตใจปลอดโปร่งกว่าเดิม
เห็นกายและใจชัดขึ้น การบอกกล่าวจากปากต่อปาก โดยมีซีดีคำ
บรรยายของท่านเป็นสื่อการสอน ทำให้ผู้คนหันมาปฏิบัติตามแนว
ทางของท่านมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่เคยปฏิบัติแนวอื่นแต่ไม่
ก้าวหน้าเพราะใช้วิธี เพ่งหรือบังคับจิตจนเครียด
จุดเด่นอีกประการหนึ่ง ก็คือ การสอนของท่าน ซึ่งนำเสนอ
แนวทางดังกล่าวในฐานะที่เป็นวิถีสู่ความพ้น ทุกข์ จากการดูจิต
สู่การเห็นรูปและนามด้วยสติ ตามมาด้วยการเห็นรูปและ
นามด้วยปัญญา คือเห็นไตรลักษณ์จนละวางความยึดติดถือมั่น
ว่ารูปและนามเป็นตัวตน คำสอนของท่านพูดถึงการบรรลุธรรม
การหลุดพ้น และมรรคผลนิพพานบ่อยครั้ง มิใช่ในฐานที่เป็นสิ่ง
เหลือวิสัยของมนุษย์ หากเป็นอุดมคติที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
และควรทำให้ได้ในชีวิตนี้ คำสอนดังกล่าวได้ทำให้ผู้คนจำนวน
มากซึ่งเคยไกลวัดหันมาสนใจพระนิพพาน กล่าวได้ว่าไม่มีใคร
ที่สามารถจุดประกายให้ฆราวาสยุคนี้ปรารถนาและ บำเพ็ญเพียร
เพื่อพระนิพพานได้มากเท่ากับพระอาจารย์ปราโมทย์
ทั้งแนวทางปฏิบัติและเนื้อหาคำสอนของท่านตามที่กล่าว
มาข้างต้น สามารถหาอ่านได้ไม่ยากจากหนังสือของท่าน
แต่สิ่งที่ไม่ปรากฏในหนังสือ ก็คือวิธีการสอนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
ตัว ซึ่งจะประจักษ์ได้ก็จากการไปฟังการบรรยายของท่านตาม
สถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น นั่นก็คือ การบรรยายด้วยถ้อยคำที่เข้าใจ
ง่าย เป็นกันเอง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การ “ทักจิต”ผู้ที่มา
“ส่งการบ้าน” ว่า หลงไปแล้ว หรือกำลังเพ่ง หรือ “ตื่น”แล้ว
เชื่อว่าวิธีนี้เป็นเหตุผล หนึ่งที่ทำให้ผู้คนมาฟังคำบรรยายของท่าน
อย่างเนืองแน่นทุกครั้ง เพราะต้องการสอบถามให้แน่ใจว่าตน
ปฏิบัติถูกต้องตามคำสอนของท่านหรือไม่ สำหรับผู้ฟังคนอื่น ๆ
การทักจิตของท่านยังช่วยให้เข้าใจการปฏิบัติตาม คำสอน
ของท่านดีขึ้น เนื้อหาและบรรยากาศส่วนนี้ถูกถ่ายทอดลงซีดี
ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในวงกว้างกว่าหนังสือ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทักจิตของท่านย่อมทำให้
ศิษยานุศิษย์ (รวมทั้งลูกศิษย์ทางซีดี)เห็นท่านอยู่ในสถานะ
พิเศษเหนือคนธรรมดา ดังนั้นจึงเกิดศรัทธาปสาทะในตัวท่านมากขึ้น
หากนี้เป็นจุดแข็ง มันก็เป็นจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน เพราะเป็นเหตุให้
ท่านถูกวิพากษ์ วิจารณ์เรื่อยมาโดยเฉพาะจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ
แนวทางปฏิบัติของท่าน จนถึงจุดหนึ่งก็ขยายตัวเป็นการต่อต้านท่าน
อย่างชัดเจน ที่น่าประหลาดใจคือแกนนำหลายคนเคยเป็นลูกศิษย์หรือ
ผู้สนับสนุนคำสอนของ ท่านอย่างแข็งขันมาก่อน
เหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้ต่อต้านใช้ในการโจมตีท่านก็คือ การอวดอุตริ
มนุ สสธรรม คือธรรมล้ำมนุษย์หรือคุณวิเศษที่เหนือปุถุชน ซึ่งโดยทั่วไป
หมาย ถึงการอวดอ้างว่าเป็นอริยบุคคล การกระทำดังกล่าวถือว่า
เป็นความผิด ตามพระวินัย หากอวดคุณวิเศษดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ตนเอง
ไม่มี ผู้อวดนั้นย่อมขาดจากความเป็นพระ กรณีพระอาจารย์
ปราโมทย์นั้น แม้ท่านจะแสดงให้เห็นว่ามีการทักจิตอยู่บ่อยครั้ง
แต่ก็ยากที่จะชี้ชัดว่าเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมตามที่ระบุใน
พระวินัย (แม้จะตีความเช่นนั้นแต่ถ้าท่านมีคุณสมบัติดังกล่าวจริง
ก็เป็นอาบัติเล็กน้อย) จะว่าไปแล้ววิธีการดังกล่าว ครูบาอาจารย์
หลาย ท่านทั้งอดีตและปัจจุบันก็ทำเป็นอาจิณ ส่วนที่กล่าวว่าท่าน
อวดอ้าง เป็นอริยบุคคลนั้น ก็เป็นเรื่องของการตีความจากคำบรรยาย
เมื่อท่านพูด ถึงสภาวะหรือสิ่งที่พบเห็นจากการปฏิบัติ ที่ผ่านมายัง
ไม่มีการอ้างคำ พูดใด ๆ ของท่านที่เป็นหลักฐานสนับสนุนข้อ
กล่าวหาดังกล่าวอย่างชัดเจน
หากไม่นับสาเหตุส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวน
ไม่มากนักแล้ว มูลเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้งที่ขยายวงน่า
จะเป็นเพราะแนวทางการ ปฏิบัติและวิธีการสอนของท่านนั้นขัดกับ
แบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่ดั้ง เดิม อาทิ การดูจิตโดยไม่เน้น
ที่รูปแบบ การทักจิตผู้ปฏิบัติในที่สาธารณะท่ามกลางผู้คนนับร้อย
(แทนที่จะทำในที่รโหฐาน) การสอนกรรมฐานโดยไม่เน้นพิธีรีตอง
(ไม่มีพิธีขอกรรมฐาน และใครจะแต่งตัวมาฟังธรรมที่สำนักของท่าน
อย่างไร ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแต่งขาว และไม่มีการสวดมนต์รับศีล )
ซึ่งแม้ถูกจริต คนหนุ่มสาวแต่ไม่เป็นที่นิยมของคนแก่วัด
ยิ่งกว่านั้นการที่ท่าน วิจารณ์การปฏิบัติที่เน้นการเพ่ง กำหนด
หรือควบคุมบังคับจิต อันเป็นที่นิยมในหลายสำนัก ย่อมทำให้เกิด
ปฏิกิริยาต่อต้านท่าน แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวจะไม่มากหาก
ลูกศิษย์ยังคงปฏิบัติในสำนักดังกล่าว แทนที่จะแห่กันไปปฏิบัติ
ตามแนวทางของท่าน หรือกลับมาตั้งคำถามกับการปฏิบัติของ
สำนักเดิม
แม้แกนนำในการต่อต้านจะเป็นฆราวาส แต่เชื่อว่ามี
พระจำนวนไม่น้อยสนับ สนุนหรือขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง เพื่อ
ความเป็นธรรม ควรกล่าวด้วยว่าหลายท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
บางท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ส่วนใหญ่
รับไม่ได้ กับแนวทางการปฏิบัติและวิธีการสอนของพระอาจารย์
ปราโมทย์ ซึ่งหลายท่านมองว่าเป็นพระที่ยังมีพรรษาน้อย
และปฏิบัติสวนทางกับ ธรรมเนียมหลายประการพระป่าโดยเฉพาะ
สายหลวงปู่มั่น ข้อกล่าวหาอีกประการหนึ่งซึ่งร้ายแรงมาก
ในสายตาของพระป่าก็คือ การดัดแปลงคำสอนของครูบาอาจารย์
ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พระอาจารย์ปราโมทย์เป็นผู้ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก
คำสอนของหลวงปู่ ดูลย์ และนำคำสอนของท่านมาเผยแพร่
โดยอธิบายให้เข้าใจได้อย่างเป็นระบบ ทำให้หลวงปู่ดูลย์เป็น
ที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่คนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม
อรรถาธิบายของท่านนั้นไม่ตรงกับที่ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ หลาย
ท่านเข้าใจ หลายท่านเชื่อมั่นว่าท่านเข้าใจหลวงปู่ดูลย์ได้ถูก
ต้องกว่า จึงไม่พอใจพระอาจารย์ปราโมทย์ที่ “สอนผิดครู”
จนบางท่านถึงกับกล่าว หาพระอาจารย์ปราโมทย์ว่าเป็นศิษย์
คิดล้างครู สำหรับท่านเหล่านี้คำสอนของหลวงปู่ดูลย์เป็นสิ่งที่
ต้องรักษาไว้ในรูป แบบเดิมหรือถ่ายทอดตามตัวอักษรอย่าง
เคร่งครัด
มองในแง่หนึ่ง ความขัดแย้งกรณีพระอาจารย์ปราโมทย์
เป็นความขัดแย้งระหว่างระหว่าง “ใหม่” กับ “เก่า” (ไม่ต่างจาก
ความขัดแย้งระหว่างพระอาจารย์พรหมวังโส กับสำนักหนอง
ป่าพงกรณีบวชภิกษุณี) จะพูดว่า โดยพื้นฐานแล้วนี้คือความขัด
แย้งระหว่างแนว “ปฏิรูป”กับ แนว “อนุรักษ์นิยม” ก็ย่อมได้
ซึ่งเป็นธรรมดาในทุกวงการและเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
เมื่อ ๖๐ ปีก่อนท่านอาจารย์พุทธทาสก็เคยถูกโจมตีว่าเป็น
คอมมิวนิสต์เพราะการสอน ที่แปลกใหม่ของท่าน ที่กระตุก
ความรู้สึกของผู้ฟัง (เช่น กล่าวว่าพระรัตนตรัยหากนับถือ
ไม่ถูกต้องก็เป็นภูเขาขวางกั้นทางสู่พระ นิพพาน) แต่
ความขัดแย้งเป็นแค่ความแตกต่าง ที่ไม่ควรนำไปสู่
ความ แตกแยก หรือการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ที่สำคัญก็
คือไม่ควรให้ความโกรธ เกลียดหรือกลัวเป็นตัวผลักดัน
การกระทำ
เมื่อมีความแตกต่างทางความคิดหรือการปฏิบัติ
ควรโต้กันด้วยเหตุผล แทนที่จะใช้วิธีโจมตี ใส่ร้าย หรือข่มขู่
คุกคาม แม้จะทำด้วยความปรารถนาดีคือเพื่อปกป้องธรรมะ
แต่หากใช้วิธีอธรรมแล้ว ผลร้ายย่อมตกอยู่กับธรรมะ
อย่างไม่ต้องสงสัย
************ แถมอีกบทความครับ
"อย่าเพ่งโทษครูบาอาจารย์" โดย ภูเตศวร บทความเตือนใจนักภาวนา เพื่อความไม่ประมาท
บทความที่คุณสาวิกาโพสไว้ในลานธรรม นำมาให้อ่านโดยคุณ Tanni
.......................
หลาย วันมานี้มีโทรศัพท์มามากมาย
ถามถึงเรื่องราวของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ที่กำลังมีชื่อเสียงในแวดวงสอนพระกรรมฐาน
ผู้เขียนเองไม่เคยได้กราบท่าน หรือรู้จักท่านโดยส่วนตัวมาก่อน
หากเคยได้ฟังบรรยายธรรมจากสื่อซีดีมา บ้างเล็กน้อย
และเคยอ่านหนังสือ "ทางเอก" หนังสือที่ท่านเขียนนานมาแล้ว
คำ ถามส่วนใหญ่ที่ลูกศิษย์ลูกหาอยากรู้
คือความเห็นของผู้เขียนต่อแนวทางการ สอนของท่าน ...
ก็ได้แต่ตอบสั้น ๆ "หลวงปู่พรมก็สอนอย่างนั้น"
หลวง ปู่พรม พรหมโชโต คือครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนเคารพนบนอบอย่างยิ่ง
ปัจจุบัน ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม
ที่คณะศรัทธาทมยันตี - ภูเตศวร ดำเนินการสร้างมาตั้งแต่ปี 2541
สมัยท่านเป็นฆราวาส เคยเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่บัว สิริปุณโณ มานานหลายปี
จำได้ว่าหลายปี ที่ผ่านมา หลวงปู่พรมได้ปรารภกับผู้เขียนในวันหนึ่ง
"คนทำงานอย่าง แม้ว มักหาโอกาสนั่งภาวนาได้ยาก
ปู่จะแนะวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ให้นะ"
หลัง จากนั้นท่านก็สอนให้เจริญสติด้วยการสังเกตอาการของจิต
อะไรที่กระทบ และจิตรู้สึกอย่างไรให้ "รู้" ตามนั้น
เช่น โกรธ ก็ให้ตามรู้ว่า โกรธ รักให้รู้ว่ารัก เกลียดให้รู้ว่าเกลียด
เกิดราคาก็รู้ว่าเกิดราคะ ฯลฯ
ไม่เพียงหลวงปู่จะย้ำว่า ทำไปเรื่อยสติของเราจะกล้าขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ท่านยังรับรองว่า ...
"เป็นการปฏิบัติที่ลัดเลาะตัดตรง ที่สุด"
เพราะตรงกับสิ่งที่ท่านเคยสอนมานาน
"ทุกอย่างอยู่ที่จิต ใจดวงนี้ จะนรกสวรรค์
หรือ พระนิพพานอยู่ที่ใจดวงนี้เท่านั้น"
เมื่อ เป็นเช่นนี้ ก็คือบทสรุปของคำตอบของผู้เขียนที่ชัดเจนว่า
แนวทางของครูบา อาจารย์รูปนั้นเป็นอย่างไร
เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น หลายท่านก็เลยขยายความต่อถึงเรื่องราววุ่น ๆ ที่ว่า
เวลานี้มีกระแสโจมตี ออกมามากมายหลายประเด็น
และอยากให้ภูเตศวรแสดงความคิดเห็นบ้าง
"อย่า เพ่งโทษครูบาอาจารย์"
ผู้เขียนตอบสั้นตามที่เคยเรียนรู้มา
เพราะ ปฏิปทาข้อวัตร ข้อปฏิบัติของครูบาอาจารย์แต่ละรูป แต่ละองค์
ย่อมมีข้อ ผิดแผกแตกต่างกันไปตามวาสนาบารมี
เราไม่รู้ภูมิธรรมของท่านว่าท่านอยู่ ระดับไหน ...
"ไปเพ่งโทษท่านระวังจะลงนรก"
ถึงตรงนี้ก็เลยขอ ยกตัวอย่างบางเรื่องมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจพวกเรากันบ้าง
เรื่องนี้มาจากปาก คำของคุณอนุชิต ปุรสาชิด
ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัด ป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี
วันหนึ่งหลวงปู่บุญจันทร์ พาพระลูกวัดเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์
เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ก่อนออกเดินทางท่านก็คอยพร่ำบอกลูกศิษย์
กรณี "เพ่งโทษ" ครูบาอาจารย์ว่า "อย่าทำ อย่าทำ"
ครูบาอาจารย์องค์แรกที่หลวงปู่บุญจันทร์พาไปคารวะ คือ
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
จากนั้นมุ่งไปวัดนิโครธาราม จ.หนองบัวลำภู ที่ไม่ไกลจากวัดถ้ำกลองเพลนัก
เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่ อ่อน ญาณสิริ
ว่ากันว่าวันที่ไปถึง หลวงปู่อ่อนท่านนุ่งผ้าสบง กับอังสะผืนเดียวนั่งเหลาไม้ทำกลดอยู่
เมื่อหลวงปู่บุญจันทร์มาถึง และกราบคารวะหลวงปู่อ่อน
ท่านก็เอาจีวรมาพาดบ่าแล้วรับไหว้
มีพระ ลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงปู่บุญจันทร์ นั่งคิดสงสัย ...
"ก็ไหนใครต่อ ใครบอกว่าหลวงปู่อ่อนสำเร็จภูมิธรรมชั้นสูงแล้ว
แต่ทำไมไม่มีมารยาทเลย
หลวง ปู่เรานุ่งห่มเรียบร้อยมากราบ
แต่ท่านรับไหว้ไม่เรียบร้อยอย่างนั้นจะถูก หรือ?"
คิดเพ่งโทษปุ๊บ หลวงปู่อ่อนก็หันมาปั๊บ ท่านเอ่ยคำทันควัน
"ไอ้ พวกตาเนื้อ ตาเน่า จะไปรู้อะไร
ดีแต่มัวเพ่งโทษครูบาอาจารย์อยู่หรือไง หือ?"
กลับถึงวัด ว่ากันว่าหลวงปู่บุญจันทร์ เรียกพระรูปนั้นมาเทศน์อบรมกัณฑ์ใหญ่
ถึงบาปกรรมในการเพ่งโทษครูบา อาจารย์
โดยเฉพาะท่านเป็นถึงพระอริยเจ้าว่า ผลกรรมนั้นสาหัส สากรรจ์เพียงใด?
ถึงตรงนี้จึงอยากบอกท่านทั้งหลายว่า ...
"รู้ อะไรยังไม่แน่ชัด อย่าเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์
อย่าตื่นข่าวตามคำพูดใคร จะมีโทษมากกว่าคุณ"
ก็ต้องขอบอกตรง ๆ แหละครับ
วันนี้มีญาติโยม ที่เป็นผู้รู้เยอะเหลือเกิน
โดยเฉพาะตามเว็ปไซด์ต่าง ๆ รู้มาก
จนถึง ขนาดนั่งวิพากษ์ วิจารณ์ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีศีลถึง 227 ข้อ
ขณะที่ตัว เองศีล 5 ข้อ ยังกะพร่อง กะแพร่งเลยครับ
พวกตามแห่ก็เลยร่วมแจมกันมันหยด ...
หารู้ไม่ไฟนรกลุกโชติอยู่บนหัวทุกวันโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมี ปุจฉามา ...
ก็ต้องวิสัชนาไปตามปัญญาขี้เท่อไปตามการณ์ละครับ
สำหรับ ความเห็นของภูเตศวร คือ ...
"ถ้ามีใครสักคนสอนให้คนถือศีล ... ฝึกสติ
นำพาผู้คนที่จมอยู่แต่กิเลส มาขัดเกลาให้ดีขึ้น ..
ผู้นั้นมี คุณประโยชน์กับชาติ และพระศาสนา
มีค่าควรกราบไหว้บูชา"
สำหรับการ ดักจิต ดักใจ สอบอารมณ์ลูกศิษย์ลูกหานั้น
ใครคิดอย่างไรไม่รู้
แต่ เป็นสิบ ๆ ปีที่ผ่านมา ครูบาอาจารย์ของภูเตศวร
ใช้กระหนาบลูกศิษย์ดื้อ ๆ อย่างเรามานานแล้ว
และเราเชื่ออย่างสุดหัวใจ
ครูบาอาจารย์เก่ง ๆ อย่างนี้มีในเมืองไทยเยอะ
ขนาดท่านรู้ ท่านสอนอย่างนั้น
ทุก วันนี้กิเลสมันยังกดหัวเราซะจนโงไม่ขึ้นเลย
อยากเพิ่มเติมอีกนิดคือ เรื่องของการปฏิบัติเพื่อก้าวสู่ความพ้นทุกข์
อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า เป็นไปตามจริตนิสัยของแต่ละบุคคล
อันไหนทำแล้วก้าว หน้า ละวางกิเลส .. มีปัญญาได้เร็ว ก็ทำตามนั้น
ถ้าวิธีการของตนไม่ เหมือนของคนอื่น ก็มิได้หมายความว่าของคนอื่นไม่ดีจริงไหม
สำหรับ ภูเตศวร หลวงปู่เสน ปัญญาธโร ท่านย้ำอยู่เสมอ ...
"เอาแต่โลกธรรมแปด นี่แหละ เข้าใจมัน
อยู่เหนือมันให้ได้ ก็พอได้อาศัยแล้ว"
ทุก วันนี้ก็เลยนึกขึ้นได้ ...
แค่อนุโมทนากับความดีที่ผู้อื่นทำ
และไม่ ริษยาความดีมีชื่อเสียงของผู้อื่น
คนเรามันยังทำยากเลย
... เพราะเมตตาธรรมค้ำจุนโลกมันเหลือน้อย ...
จึงอยากฝากทุกคนว่า ควรหมั่นเจริญเมตตาให้มาก ๆ
โลกปัจจุบันจะได้เย็นขึ้นบ้าง
ถ้าไม่ เหลือบ่าฝ่าแรงละก็ ให้ละแล้วต่อกันเถิด
เพราะไฟพยาบาทที่ "เผาใจ"
มัน ร้อนกว่า "ไฟนรก" นะโยม
***********