งูอะไรมีหนวด?? โดย โจโฉ
ทำความเข้าใจหน่อยว่าเดิมผมเป็นคริสต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อน ปัจจุบันเป็นวิทยากรแนววิทยาศาสตร์ทางจิตที่เน้นการพิสูจน์ได้เป็นหลัก และไม่ใช่ “นาธาน”กลับชาติมาเกิด คิดว่าความดีและผลงานที่ทำไว้มีมากพอ จึงไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องลึกลับมาอัพเกรดให้ดูเป็นผู้วิเศษน่าศรัทธาขึ้นอีก แต่เพราะเห็นประโยชน์ในการเล่าเรื่องแนวนี้ให้บางกลุ่มฟัง จึงขอเล่าสลับกับบทความธรรมะ หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกท่านได้บ้าง อยากให้เปิดใจลองอ่านด้วยนะครับ
(หมายเหตุ : หลายเรื่องอาจไม่ใช่สิ่งที่ควรสนใจ แต่ก็ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจในระดับที่เหมาะสมด้วย ไม่ใช่จะปฏิเสธแล้วไม่สอนไม่สนใจกันเลย การยอมรับว่าภพภูมิอื่นมีอยู่จริงเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่ยอมรับว่า 1+1=2 จะไปบวกเลขอื่นที่ยากกว่าถูกได้อย่างไร แม้ผมจะบอกว่าไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ แต่คนส่วนใหญ่ยังสงสัย-สนใจเรื่องพวกนี้ จึงจำเป็นต้องนำมาอธิบายหรือเล่าให้ฟังบ้าง โดยเน้นประโยชน์ของคนจำนวนมาก
สังเกตไหมครับว่า.. พระพุทธองค์ตรัสว่าเรื่องภพภูมิไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ท่านก็ตรัสเล่าเรื่องพวกนี้ไว้มากมายให้กับคนที่เหมาะสมได้ฟัง คนที่เหมาะฟังแต่หลักภาวนาขั้นสูง จะเข้าใจธรรมขั้นปรมัตถ์ได้จริงนั้น มีจำนวนไม่มากนัก การเผยแพร่ที่ดี ไม่ใช่ยึดแต่แก่นในระดับลึก แต่ต้องดูความเหมาะสมของผู้รับด้วยครับ)
บ้านผมอยู่กรุงเทพฯชานเมือง สมัยก่อนหลังบ้านจะเป็นหนองน้ำตื้นๆ มีพงหญ้ากินบริเวณยาวติดที่ดินและบ่อน้ำเล็กๆ มากมาย คุณพ่อไม่ทำรั้วหลังบ้าน เพราะไม่มีใครเดินมาได้อยู่แล้ว เช้าวันหนึ่ง ผมยกแตงโมมานั่งกินตรงหลังบ้าน เสียงคุณแม่ซึ่งเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ บอกให้เอาไปแบ่งกินกับพี่ๆ ที่เล่นอยู่หน้าบ้าน แต่ด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่ยอมตัดแบ่งใครทั้งนั้น เอาช้อนควักกลางลูกกินคนเดียวอย่างเมามัน สักพักได้ยินเสียง “ซวบๆ” ก็ไม่สนใจ จนดังใกล้ผิดปกติ จึงละสายตาเหลือบไปที่พื้นด้านล่าง ซึ่งอยู่ต่ำกว่าพื้นบ้านพอสมควร เห็นอะไรดำๆ คล้ายตัวงู ไม่ทันแน่ใจว่าอะไร ก็มีบางอย่างโผล่ขึ้นมาเกือบชนหน้า ขู่คำรามเสียงดัง เล่นเอาซะช๊อกทำอะไรไม่ถูก!!
นั่งนิ่งตาค้างจ้องมองประสานตากับตัวอะไรก็ไม่รู้ ตาแดงโต กรามใหญ่ เขี้ยวยาว หัวใหญ่มาก แยกเขี้ยวคำรามไม่หยุด ตั้งสติได้หน่อยก็เหลือบไปเห็นแม่ผมกรีดร้องวิ่งตัวลอยไปหน้าบ้านแล้ว พยายามเอี้ยวตัวจะลุกวิ่งตามแม่ไป แต่ขามันไม่ยอมขยับ เลยต้องคลานตะกายหนีตายไปหน้าบ้าน ก็เห็นแม่ไปตามลุงข้างบ้านให้มาช่วย เขาถามแต่ว่า “มันไปไหน เข้ามาในบ้านหรือเปล่า” ตอบได้อย่างเดียวว่า “ไม่รู้” เพราะห่วงแต่จะออกมาจากตรงนั้นให้ได้ ไม่ได้สนใจอะไรเลย
จากที่ฟังแม่บอกคนอื่นว่า “งู งูตัวใหญ่มาก” ทำให้ผมพอสรุปได้ว่าตัวอะไร แต่ก็ยังสงสัยว่าเมื่อกี้มันงูจริงเหรอ ทำไมหน้ามันแปลกจัง?? แถมลักษณะพิเศษที่ผมจำติดตาคือ.. มันมีหนวด ไปเล่าให้น้าฟัง เขาก็บอกว่าเพ้อเจ้อ แมวหรือเปล่า โชคดีว่าแม่ผมเห็นด้วยและยืนยันว่าเป็น.. "งู" แต่ไม่ได้เห็นใกล้แทบชิดหน้าเหมือนผม หลังเหตุการ์ณสงบ แม่ถามจะกินแตงโมต่อไหม ด้วยความกลัวไอ้ตัวเมื่อกี้มันอาจเลียหรือเลื้อยผ่าน ก็เลยโยนทิ้งไปหลังบ้านนั่นเอง
วินาทีที่โยนทิ้งใจมันแว๊บขึ้นมาเลย เออ!! ถ้าเอาไปแบ่งพี่กินก็ไม่เจอไอ้ตัวนี้นะ นี่เพราะความเห็นแก่ตัวของเรา อยู่ดีๆ มันคิดได้แฮะ?? นึกย้อนไปว่า ธรรมชาติของงู จะไม่เลื้อยเข้าหาคน หากไม่ไปรบกวนเขาก่อน นี่ต้องเจอพงหญ้ากิ่งไม้ ไม่ใช่เลื้อยมาง่ายๆ มาขู่ใส่หน้าเสียงดังเหมือนโกรธกันมาซักสิบปี แต่ก็ไม่ทำอันตราย คิดถึงทีไร ก็แปลกใจและไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง
“พญานาค” ผมไม่เคยคิดจะเชื่อมาก่อน แต่พอเจออะไรแปลกๆ ก็ต้องกลับมาคิดว่า.. อาจมีหลายสิ่งที่มีอยู่จริง แต่เรายังสัมผัสไม่ได้ เหมือนคลื่นวิทยุที่มีเยอะเต็มฟ้า ถ้าจูนคลื่นไม่ตรงก็รับสัญญาณไม่ได้ หลังจากมาศึกษาพุทธ ก็เข้าใจว่าพญานาคเป็นกายทิพย์หรือโอปะปาติกะอยู่อีกมิติหนึ่ง โอกาสเจอหรือจะมายุ่งกับมนุษย์ยากมาก “เหมือนไฮโซนะ ไม่จำเป็นเขาไม่ไปเดินในสลัมหรอก” อ.พร รัตนสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎก พูดถึงโอปะปาติกะชั้นเทพว่าสามารถดลใจสัตว์ให้ทำตามที่ต้องการได้ เช่น สะกดงูมาเฝ้าสถานที่ หรือสร้างภาพนิมิตให้บางคนเห็นภาพคนหรือสัตว์ให้มีลักษณะตามต้องการได้
กรณีผมถ้าคิดตามหลักนี้ อาจเป็นญาติจากอดีตชาติที่เป็นโอปะปาติกะ มาสะกดงูให้เลื้อยมาหาผม ให้เห็นเป็นหน้าตาที่น่ากลัว จุดประสงค์เพื่อสั่งสอนที่เห็นแก่ตัว ลงโทษให้เข็ดหลาบ ให้รู้จักมีน้ำใจแบ่งปัน ตอนแรกไม่รู้หรอกนะ แต่เพราะเด็กยันโต หากผมมีจิตชั่วสุดโต่งทีไร โดนสั่งสอนแบบเหนือธรรมชาติทุกที วันนั้นแม่ผมขนาดเป็นคริสต์นะ ยังบอกเลยว่า “สงสัย คุณตามาหามั้ง!!??”
(ใครไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอกว่า มันน่ากลัวแค่ไหน แค่นึกย้อนไป ผมยังไม่อยากเชื่อเลย!)
โจโฉ www.jozho.net